บทที่ 4 - เป็นขี้ข้าฝรั่ง มันส์ดีจริงๆ (ชีวิตการทำงานในประเทศอังกฤษ)


ในบทนี้เกรซจะเล่าถึงชีวิตการทำงานในประเทศอังกฤษ ซึ่งจะมีการลงรายละเอียดของงานในแต่ละงาน ไม่ว่าจะเป็น ขั้นตอนการคัดเลือกพนักงาน การสอบสัมภาษณ์ ภาระหน้าที่ ค่าจ้าง อุบัติเหตุน่าขบขันที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน (ซึ่งจริงๆ แล้วเกรซนั้นขำไม่ออกในตอนที่เกิดเรื่อง) เพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจจะทำงานในประเทศอังกฤษ รวมไปถึงเรื่องราวที่คาดไม่ถึง ที่ทำให้เกรซเกือบช็อคไปเลยตอนที่เธอถูกขอให้ "Wipe willy" ของนายจ้างคนหนึ่งของเธอ  


ทนความลำบากไม่ไหว
ปรกติแล้วในการเรียนระดับปริญญาโทนั้น จะมีทั้งหมดสามเทอมด้วยกัน  ในสองเทอมแรกจะเป็นการเรียนในห้องเรียน และเทอมสุดท้ายจะเป็นการเขียนวิทยานิพนธ์ ซึ่งไม่มีการเรียนการสอนในชั้นเรียน นักเรียนจะต้องเขียนวิทยานิพน์ขึ้นด้วยตนเอง โดยรับคำแนะนำ และคำปรึกษาจากอาจารย์เป็นครั้งคราว ดังนั้นนักเรียนสามารถที่จะส่งงานวิทยานิพนธ์ ให้อาจารย์ผู้สอนตรวจผ่านทางอีเมล์ได้ เพื่อนนักเรียนไทยที่มาด้วยกันกับเกรซจึงกลับบ้านเกิดกันหมดก่อนที่หลักสูตรนั้นจะจบสิ้นลงจริงๆ ด้วยซ้ำ
     เกรซเดาว่าเพื่อนนักเรียนไทยของเธอนั้นแห่กันกลับบ้าน เพราะไม่เพียงแต่คิดถึงบ้านกัน แต่คงจะทนความลำบากไม่ไหว จากที่หลายคนไม่เคยต้องมานั่งจ่ายตลาด ทำกับข้าว  ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า แต่ก็ต้องมาทำเองทั้งหมด แถมยังต้องมาขึ้นรถสาธารณะอีกด้วย จะไปเที่ยวไหนทีก็ต้องมานั่งคิดแล้วคิดอีก เพราะต้องคิดคำนวณค่าใช้จ่ายอยู่ตลอด เพราะอะไรๆ มันก็แพงไปหมด ไม่เหมือนตอนที่อยู่เมืองไทย คิดจะไปไหนก็ไป กินไหนก็กิน ไม่ต้องมานั่งคิดอะไรกันมากมาย แต่ในประเทศอังกฤษนั้นจะมารับประทานอาหารนอกบ้านกันอยู่เป็นประจำเหมือนอยู่เมืองไทยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะอาหารนอกบ้านแต่ละมื้อไม่ต่ำกว่า 250 บาทต่อคน นอกเสียจากว่าจะเลือกรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเอา


การวางตำแหน่งสินค้าทางการตลาด
พอพูดถึงอาหารฟาสต์ฟู้ตแล้วนั้น เกรซก็อดขำตัวเธอเองไม่ได้ เนื่องจากตอนที่เกรซอยู่เมืองไทย เธอรวมทั้งครอบครัว และเพื่อนของเธอ ชอบเข้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แม็คโดนัลด์ เบอร์เกอร์คิงส์ กันเป็นประจำ เพราะความโก้เก๋และเป็นการแสดงถึงความมีฐานะ เนื่องจากที่เมืองไทยนั้นสินค้าทุกอย่างที่มาจากทางประเทศตะวันตก โดยเฉพาะที่เป็นยี่ห้อจาก สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จะมีราคาสูง รวมทั้งอาหารด้วย ตัวอย่างเช่น  แฮมเบอร์เกอร์จากร้านเบอร์เกอร์คิงส์บางอันนั้น ราคาเกินค่าแรงงานของคนทำงานครึ่งวันเลยทีเดียว คนไทยบางคนตั้งแต่เกิดมา ทั้งชีวิตเขายังไม่มีโอกาสที่จะได้กินแฮมเบอร์เกอร์ตามร้านพวกนี้เลย

ภาพโดย: promotiontoyou.com


ในประเทศอังกฤษนั้น เกรซสังเกตเห็นว่า อาหารฟาสต์ฟู้ดพวกนี้จะมีราคาถูกที่สุด เปรียบเทียบกับอาหารประเภทอื่นๆ เพราะมันเป็นอาหารที่ปรุงแบบรวดเร็ว และไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์เท่าไรนัก ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีแต่ไขมันและคาร์โบไฮเดรต และนั่นก็เป็นสาเหตุที่มันจึงถูกเรียกว่า “Fast food” หรือ “Junk food” (อาหารขยะ) นั่นเอง
     เนื่องจากเกรซเรียนจบจากสาขาการตลาดมา เธอจึงได้เข้าใจว่า มันเป็นเกมส์ของการตลาด ที่อาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แม็คโดนัลด์ เบอร์เกอร์คิงส์ นั้นสามารถนำมาตั้งราคาขายสูงและมีการวางตำแหน่งสินค้าไว้สำหรับชนชั้นกลางในประเทศไทยได้นั้น มันก็เป็นเพราะว่า คนไทยมีรสนิยม และความคิดที่เห็นว่าสินค้าที่มาจากประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นเป็นของหรูหรามีระดับ ทั้งๆ ที่ราคาสูงแต่ก็ยังมีคนซื้ออยู่ เพราะจริงๆ แล้วเราไม่ได้ยอมจ่ายเพราะประโยชน์ของตัวสินค้าจริงๆ แต่เราซื้อภาพลักษณ์กันซะมากกว่า
     เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้เกรซงงมาก คือตอนที่เธอเห็น เครื่องดื่ม เสริมกำลังกระทิงแดง ที่ในเมืองไทยนั้นมีการจัดตำแหน่งสินค้าให้ถูกนำมาขายให้กับกรรมกรผู้มีรายได้น้อย แต่จะมีคนไทยสักกี่คนที่รู้ว่า กระทิงแดงได้ถูกนำมาขายให้กับกลุ่มเด็กวัยรุ่นทันสมัยและผู้เชี่ยวชาญในประเทศอังกฤษ

ภาพโดย: infobarrel.com


มันทำให้เกรซเห็นได้ชัดว่า ราคาของสินค้านั้นไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพของสินค้านั้นๆ เสมอไป และในการตั้งราคาของสินค้า ส่วนใหญ่มันจะถูกตั้งขึ้นโดยการสร้างความเชื่อ ตัวอย่างเช่น กางเกงยีนส์ ยี่ห้อ ดีเซล ที่ตัวละเป็นหมื่น ทั้งๆ ที่มันก็คือกางเกงยีนส์ธรรมดานี่แหละ แต่เพราะ ด้วยการโฆษณา การวางแผนการตลาดของบริษัท ที่สร้างความเชื่อให้ผู้คนมีความรู้สึกว่ามันเป็นกางเกงยีนส์พิเศษ ราวกับว่าหากได้สวมใส่ไปแล้วคนใส่จะลอยขึ้นไปบนสวรรค์เลยทีเดียว พอคนเชื่อมากๆ เข้า มันก็สามารถทำการขายได้ ทั้งๆ ที่ราคานั้นสูงริบริ้ว ขนาดอาจารย์ชาวอังกฤษ ที่เป็นผู้สอนวิชายี่ห้อสินค้าของเกรซ ยังบ่นว่ามันตลกเสียจริงที่กางเกงยีนส์ธรรมดา สามารถเอามาขายได้ในราคาแพงซะขนาดนั้น

กางเกงยีนส์ ยี่ห้อดีเซล
ภาพโดย: en.item.rakuten.com


พอรู้เช่นนั้นแล้วเกรซก็รู้สึกเสียดายเงิน เพราะตอนที่เธออยู่เมืองไทยเธอไม่เห็นคุณค่าของอาหารไทยบ้านๆ (ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ) ซึ่งถูกแสนถูกและมีคุณค่าอาหารครบถ้วน  แต่เธอดันไปเลือกซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ดซึ่งราคาแพงกว่าเกือบสามเท่าตัว และไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย


การบิดเบียนปกปิดความจริงเพื่อ โชว์ออฟ
นอกเหนือจากความลำบากในการใช้ชีวิตแล้ว การหางานทำก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราไม่ใช่เจ้าของภาษา นักเรียนไทยส่วนใหญ่แล้วก็จะทำงานใช้แรงงาน เช่น พนักงานเสริฟ์ในร้านอาหารไทย หรือไม่ก็ในร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดนั่นเอง ถึงแม้ว่านักเรียนไทยที่มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวที่มีฐานะ แต่พอมาถึงประเทศอังกฤษซึ่งมีค่าเงินที่สูงกว่า ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ไม่ได้มีฐานะมากมายอีกต่อไป เพราะค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งแล้วขั้นต่ำ รวมค่าอยู่ ค่ากิน จะตกอยู่ที่ประมาณไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท   และ 20,000 บาท ที่ว่านี้ ใช้หาที่พักได้ก็เป็นแค่แบบที่ต้องอยู่รวมกับผู้อื่นอีก 3-4 คน และต้องใช้ห้องน้ำร่วมกันอีกด้วย หากใครสามารถใช้จ่ายได้ต่ำกว่านี้นั้นแสดงว่า เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่แบบลำบาก อดหอมรอมริบอย่างมากและแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลยก็ว่าได้ หรือไม่ก็เป็นพนักงานทำงานอยู่ตามร้านอาหารไทยที่มีที่พักให้อยู่ให้กินฟรี แต่ก็ยังเป็นที่พักที่ต้องอยู่รวมกันกับผู้อื่นอยู่ดี
     ฉะนั้นส่วนใหญ่แล้วนักเรียนไทยหลายคนจึงยังต้องออกไปหางานทำ เพื่อหารายได้พิเศษ และสำหรับบางคนจากที่เคยใช้ชีวิตอยู่สบายๆ บางคนถึงกับมีคนใช้ แล้วพอมาอยู่เมืองนอก ต้องมานั่งเป็นคนใช้ให้ตัวเอง แถมต้องออกไปทำงานใช้แรงงาน หลายคนจึงอยู่ไม่ได้เพราะทนความลำบากไม่ไหว เกรซสังเกตเห็นว่า เด็กไทยหลายคนที่ได้ไปเรียนเมืองนอกแล้วมีชีวิตที่ลำบากนั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีใครเอาไปพูดไปเล่า ว่าตนนั้นต้องตกระกำ ลำบาก แต่ในทางตรงกันข้าม ทุกคนมักจะถ่ายรูปเอามาอวดเพื่อนๆ ที่เมืองไทยราวกับว่า ชีวิตของตนนั้น หรูหรา ฟู่ฟ่า ซะเหลือเกิน เพื่อนของเกรซคนหนึ่งบ่นตลอดว่า ตนนั้นจนจัง เพราะประเทศอังกฤษสูบเงินเขา แต่ในทางตรงกันข้ามเกรซเห็นแต่ละรูปที่เขาถ่ายลงในเฟสบุ๊คนั้นดูไม่เหมือนดังที่เขาบ่นกับเกรซเลย แม้แต่คุณพ่อของเกรซซึ่งเป็นนักเรียนนอกยังบ่นว่าชีวิตที่อเมริกานั้นไม่ได้สบายเหมือนอยู่เมืองไทย ก็อย่างที่เห็นได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นนักเรียนไทยที่มาด้วยกันกับเกรซก็ยังรีบกลับบ้านกันแถบไม่ทัน ในทางเดียวกันเราก็สามารถเห็นได้จากที่ว่า ถ้าอยู่เมืองนอกนั้นสบายจริง เราคงจะได้เห็นคนรวยในประเทศไทยย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว


ได้มาง่ายก็เสียไปง่าย
ก่อนที่เกรซจะมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เธอแทบไม่เคยที่จะทำงานมาก่อนเลยด้วยซ้ำ งานแรกที่เกรซทำนั้น เป็นงานในฤดูร้อน ช่วงที่โรงเรียนปิด ในตำแหน่งพนักงานฝ่ายบุคคล ในองค์กรของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เดียวกันกับที่คุณแม่และญาติพี่น้องทางฝั่งของคุณแม่ของเธอนั้นทำงานอยู่ เกรซจึงได้รับเลือกเข้าทำงานโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบใดๆ และด้วยความที่เกรซได้งานมาทำอย่างง่ายดายนั่นเอง เธอจึงทำงานอยู่ได้แค่ประมาณหนึ่งเดือน เพราะว่าเธอไม่เห็นถึงคุณค่าของมัน ในขณะนั้นเกรซมัวแต่สนใจแต่ในเรื่องเที่ยว เฮฮา ปาร์ตี้และก็อยากจะใช้เวลาอยู่กับแฟนแต่อย่างเดียว แล้วสุดท้ายเธอก็ต้องมารู้สึกเสียใจและเสียดายภายหลัง
     งานที่สองเกรซได้รับโอกาสให้ช่วยงานในบริษัทที่คุณลุงของเธอมีหุ้นส่วนอยู่ ที่นี่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะเกรซมีห้องทำงานส่วนตัวเป็นของเธอเอง แทนที่เธอจะเอาไว้ทำงาน เธอดันเอาไว้นอนหลับพักผ่อนซะเลย ไม่นานหลังจากนั้นเพื่อนของคุณลุงของเกรซก็มาบอกเกรซว่าไม่ต้องมาทำงานแล้ว เนื่องจากบริษัททำกำไรได้ไม่ดีและจะต้องปิดลง เพราะเป็นช่วงปี 2541ที่เศรษฐกิจตกต่ำในแทบเอเชีย เกรซไม่เคยแน่ใจว่านั่นเป็นเหตุผลที่แท้จริงหรือเป็นเพราะตัวเธอนั้นแย่เหลือเกิน ในความรู้สึกของเกรซนั้น เธอคิดอยู่ตลอดว่ามันน่าเป็นอย่างอย่างหลังซะมากกว่า
     นี่ยังไม่รวมถึงงานอื่นๆ ที่เกรซได้มาอย่างง่ายๆ เพราะการที่เธอเป็นเด็กเส้นนั้นเอง เธอจึงไม่เห็นคุณค่าและทิ้งมันไปง่ายๆ จนกระทั่งตอนที่เธอมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งที่ประเทศอังกฤษนั้น ประสบการณ์การทำงานสำคัญมาก ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ 3 ว่างานส่วนใหญ่นั้น ไม่มีการระบุวุฒิการศึกษาเลยด้วยซ้ำ แต่เขาจะดูกันที่ประสบการณ์ ปีการทำงาน เกรซจึงต้องมานั่งบ่นกับคุณแม่ที่หลังว่า เธอเสียดาย ที่เธอไม่อดทนทำงานที่เธอได้มาตอนที่เธออยู่เมืองไทยให้นานสักนิด ไม่อย่างนั้นเธอจะสามารถนำมันมาใช้ในการสมัครงานที่ประเทศอังกฤษได้ นี่แหละอย่างที่เขาเรียกกันว่า ได้มาง่ายก็เสียไปง่ายนั่นเอง

งานแรกในประเทศอังกฤษและการโดนเบี่ยวค่าแรงกับงานเสริฟ์งานยอดฮิตของนักเรียนไทย
งานแรกที่เกรซทำนั้นเป็นงานเสริฟ์ เกรซได้งานโดยวิธีแบบโบราณๆ นี่แหละ กล่าวคือ โดยการเดินถือใบสมัครงานเข้าไปในร้าน เกรซไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการทำงานเสริฟ์มาก่อนมากนัก เธอจึงคิดว่าการทำงานเป็นพนักงานเสริฟ์นั้นง่าย เพราะเธอเห็นใครๆ ก็ทำได้ แต่แล้ววันแรกที่เธอได้ทำงานเสริฟ์นั้น เกรซจำได้ว่าเธอเหนื่อยมาก วันที่เธอกลับถึงบ้าน เธอไม่แม้แต่จะอาบน้ำก่อนนอน พูดง่ายๆ ว่าหัวถึงหมอนปุ๊ปก็ฟุบไปเลย เพราะเธอได้ยืนมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ตอนแรกเธอก็รู้สึกสนุก เพราะว่ามันเป็นของใหม่และเธอก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าเธอสามารถทำงานหาเงินเองได้ แต่สุดท้ายเธอก็ทำอยู่ได้ไม่ถึงเดือน เพราะเธอทนความเหนื่อยไม่ไหว แถมมีอุบัตเหตุเกิดในที่ทำงานอีกด้วย
     เนื่องจากเกรซเป็นคนที่แพ้แอลกอฮอล์ ฉะนั้นเธอจึงไม่ใช่คนดื่ม แต่แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอต้องเสริฟ์เบียร์ให้ลูกค้า ซึ่งมากับภรรยาและลูกที่น่ารักอีกสองคน เกรซก็เริ่มรินเบียร์ไปตามปกติเหมือนรินน้ำดื่ม น้องสองคนที่เป็นลูกของลูกค้าก็มองเกรซ ด้วยสายตากังวลและตกใจ แต่เกรซก็ยังรินไปเรื่อยๆ เพราะเธอไม่รู้ว่ามันจะมีสิ่งอะไรตามมา นาทีถัดมาเท่านั้นแหละ เธอก็ได้เห็นฟองเบียร์ล้นออกมาหกเต็มแก้วไปหมดเลย จากนั้นเธอจึงได้รู้ตัวว่าทำไมเธอจึงถูกมองแบบแปลกๆ เกรซรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการกล่าวคำขอโทษกับลูกค้า และก็เก็บกวาดทำความสะอาดไป  
     ความผิดพลาดอีกเหตุการณ์หนึ่งคือ ตอนที่เกรซต้องเสริฟ์ลูกค้าขี้หลี คราวนี้ลูกค้าได้สั่งเบียร์ เกรซก็เตรียมไว้บนถาดเรียบร้อย และด้วยการที่เกรซได้ถูกสอนมาว่า ถ้าอยากจะให้ดูโปรนั้นเธอจะต้องถือถาดมือเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอก็ทดลองกับของเบาๆ ในถาดก่อน แล้วเธอก็สามารถทำได้ดี ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเธอต้องทำได้แน่จนกระทั่งมาเจอลูกค้าขี้หลีที่มาแซว พยายามที่จะพูดภาษาไทยกับเธอ เธอจึงรู้สึกประหม่าและทำขวดเหล้าหกใส่ลูกค้าซะเลย
     จากนั้นมาเกรซก็เริ่มรู้ตัวว่า งานเสริฟ์นั้นไม่ได้เป็นงานสำหรับเธอและเธอก็รู้สึกเบื่อด้วยเธอจึงตัดสินใจลาออก ตอนที่เกรซได้ขอลาออก เจ้านายของเธอก็ถามว่าทำไม เพราะนึกว่าเธอโดนเพื่อนร่วมงานแกล้ง ดูเหมือนจะดีแต่ก็เหอะเกรซได้ถูกเบี่ยวค้าจ้าง เธอได้รับค่าจ้างสำหรับการทำงานอาทิตย์แรก ที่เหลือนั้นเธอไม่ได้รับอะไรเลย แต่เธอก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เนื่องจากเพื่อนร่วมงานของเธอได้บอกเธอมาว่า หลายคนก็เจอปัญหาเดียวกัน เกรซพยายามโทรศัพท์ไปทวงค่าแรงอยู่หลายครั้ง ถึงกับมีปากมีเสียงกับพนักงานที่พูดจาไม่ดีกับเธอ ทั้งๆ ที่เขาก็เคยเป็นเพื่อนร่วมงานเก่ากับเกรซมา แต่สุดท้ายเธอรู้สึกเหนื่อยที่จะตามเพราะเธอไม่สามารถทำอะไรได้มาก เนื่องจากเธอไปรับเงินเดือน เป็นเงินสด มานั่นเอง

ค่าจ้างที่เป็นเงินสด ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศอังกฤษ
ก่อนเริ่มการทำงาน ผู้จัดการของร้านอาหารไทยนั้นได้บอกเกรซว่า เธอจะต้องทำการทดลองงานเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน และเธอจะได้รับค่าจ้างอยู่ที่ 4 ปอนด์ เป็นเงินสดซึ่งไม่ผ่านทางระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่ใช่ 5.35 ปอนด์ตามราคาค่าแรงขั้นต่ำ และเธอยังถูกบอกอีกว่า 4 ปอนด์นะ ราคาดีแล้วเพราะถ้าหากว่าเธอรับค่าจ้างตามระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายที่มีการถูกหักภาษีนั้น เธอจะได้ค่าจ้างน้อยกว่านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นความจริงเลย เกรซก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเธอไม่รู้ว่าเธอกำลังถูกเอาเปรียบ และไม่ทราบว่าที่ประเทศอังกฤษนั้น การทำงานโดยรับค้าจ้างเป็นเงินสดมันผิดกฎหมาย เพราะว่าในประเทศไทย เกรซจะเห็นร้านอาหาร ร้านค้าแผงลอยอยู่ทั่วไปและร้านเหล่านี้ก็จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างเป็นเงินสด และการที่เกรซรับค่าจ้างเป็นเงินสดนี่เอง มันทำให้เกรซไม่มีหลักฐานที่จะไปเรียกร้องค่าจ้างที่เธอโดนเบี่ยวกลับคืนมาได้ ตอนหลังเกรซได้มาเข้าใจถึงสาเหตุ ว่าทำไมในประเทศอังกฤษนั้น การจ่ายเงินให้ลูกจ้างเป็นเงินสดถึงผิดกฎหมาย นั้นก็เป็นเพราะว่า มันเป็นการหนีภาษีอย่างหนึ่ง เพราะเงินสดที่ได้มา ไม่ได้ผ่านการหักภาษีจากรัฐบาล และในการที่เกรซรับค่าจ้างมาเป็นเงินสดนั้นก็แสดงว่าเธอไม่ได้รับเอกสารใดๆ ที่เป็นลายลักษณ์ อักษร เธอจึงไม่สามารถแจ้งความได้
     หลายคนที่มาทำงานที่ประเทศอังกฤษแล้วคิดว่าการรับค่าจ้างเป็นเงินสดนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะเหมือนกับทำงานปุ๊ปได้เงินปั๊ป และดูเหมือนว่าค่าจ้างที่ได้นั้นจะสูงกว่าค่าจ้างที่ถูกหักภาษีผ่านตามทางกฎหมายที่ถูกต้อง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยเพราะเงินที่ถูกหักภาษีนั้นจะมีการคืนให้บางส่วนในทุกๆ ปี (สำหรับผู้ที่ได้รายได้น้อยกว่า 6,500 ปอนด์ต่อปี) และในบางส่วนนั้นถูกนำไปสะสมเพื่อเป็นเงินบำนาญในตอนเกษียณ (สำหรับผู้ที่ตัดสินใจพำนักอาศัยอย่างถาวรที่ประเทศอังกฤษ) และนายจ้างที่จ่ายค่าจ้างเป็นเงินสดนั้น แท้จริงแล้วเขาเอาเปรียบเพราะเขาไม่ต้องมานั่งเสียภาษีเองนั่นเอง

ภาษีที่ดูเหมือนจะไม่เท่าเทียมกัน
ภายหลังเกรซได้เข้าใจถึงแนวความคิด ว่าทำไมการจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างเป็นเงินสดนั้นผิดกฎหมายในประเทศอังกฤษ เพราะมันถือว่าเป็นการหลบเลี่ยงภาษีอย่างหนึ่ง เนื่องจากเงินสดนั้นไม่ได้ถูกจ่ายผ่านทางระบบภาษี ในประเทศอังกฤษทุกคนจะถูกหักภาษีจากเงินเดือนของตน โดยที่คนที่ทำงานได้เงินเดือนมากก็จะเสียภาษีมาก และคนที่ทำงานได้น้อยก็จะเสียภาษีน้อย ตอนที่เกรซรู้เรื่องนี้จากเพื่อนของเธอคนหนึ่ง ว่าสามีของเพื่อนเธอนั้นถูกหักภาษีจากเงินเดือนๆ ละ 3,000 ปอนด์ ที่เดือนละ 800 ปอนด์ ในขณะที่คนที่ทำงานได้เงินเดือนๆ ละ 1,000 ปอนด์ เสียภาษีที่แค่เดือนละ 125 ปอนด์ เธอถึงขนาดรับไม่ได้เพราะเธอได้แต่มองที่ความแตกต่างระหว่างตัวเลข 800 กับ 125 ว่ามันแตกต่างกันเหลือเกิน ทำให้เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม แต่เธอลืมไปว่าในความเป็นจริงแล้ว สามีของเพื่อนเธอยังเหลือเงินไว้ใช้อยู่ที่ 2,200 ปอนด์ ในขณะที่คนที่ได้เงินเดือน 1,000 ปอนด์จะเหลือเงินอยู่แค่ 875 ปอนด์
     พูดง่ายๆ ก็คือว่า หาก A มีเงินอยู่ 1,000 บาท แล้ว B มีเงินอยู่ 100 บาท ถ้าเราหักภาษีทั้งคู่เท่ากันที่ 50 บาท A จะเหลือเงินอยู่ที่ 950 บาทในขณะที่ B นั้นจะเหลือเงินอยู่แค่ 50 บาทเท่านั้น  A ก็จะมีเงินเหลือใช้มากกว่า B ซึ่งมีเงินเหลืออยู่แค่ที่ 50 บาท จ่ายค่าน้ำอย่างเดียวก็หมดแล้ว ส่วน A นั้น นอกจากเขาจะสามารถนำเงินที่เหลือแยะมากกว่ามาจับจ่ายใช้สอยได้แล้ว เขายังจะสามารถนำเงินนั้นมาลงทุนทำธุรกิจอื่นๆ ได้อีกด้วย เพราะนอกจาก A จะมีเงินลงทุนแล้วเขาจะยังมีเงินในการจ้างคนทำงานบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ซึ่งทำให้  A มีเวลาเหลือในการทำอย่างอื่น แล้วถ้าที่ไหนที่มีระบบเช่นนี้เกิดขึ้น มันก็จะทำให้คนที่ได้เงินเดือนสูงกว่ารวยค้างฟ้าอยู่นั่นเอง ด้วยสาเหตุนี้ในประเทศ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศษ สเปน แคนาดา จึงได้มีการจัดเก็บภาษีแบบเพิ่มขึ้นซึ่งคนต้องจ่ายมากกว่าหากได้รับเงินเดือนมากกว่า เพื่อที่จะนำเงินมาใช้พัฒนาประเทศชาติให้กับส่วนรวมได้จริง และมันสามารถช่วยลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยให้แคบลงอีกด้วย
      ในประเทศอังกฤษนั้นเวลาที่ใครต้องการจะประกอบธุรกิจใดๆ ก็ตามจะต้องมีการจดทะเบียนตามกฎหมาย ไม่เหมือนกับที่ประเทศไทยที่ใครจะตื่นมาวันหนึ่งแล้วคิดจะเปิดร้านค้าขายของขึ้นมาก็เปิดทำได้เลย (ยกเว้นการค้าขายแบบชั่วครั้งชั่วคราว เช่น การขายของท้ายรถ หรือ การขายของตามตลาดนัด) สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ทางรัฐบาล (ที่ทำงานแบบโปร่งใส ซื่อสัตย์ และต้องการช่วยเหลือส่วนรวมอย่างแท้จริง) จะได้เก็บภาษีและนำเงินมาใช้พัฒนาประเทศได้เช่นกัน 

ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุ
หลังจากที่เกรซตระหนักว่าเธอนั้นไม่สามารถทำงานเสริฟ์ได้ เธอจึงเปลี่ยนมาทำงานเป็นผู้ช่วยดูแลคนสูงอายุ อายุ 90 ปีและมีความจำเสื่อม  เกรซรู้สึกรักงานนี้และเธอก็ไม่ได้แปลกใจว่าทำไม เนื่องจากตอนที่เธอเด็กๆ เธอใช้ชีวิตอยู่กับคุณปู่ของเธอ ต่างคนต่างดูแลกันและกัน เกรซได้ถูกสอนโดยคุณป้าให้ชงชา กาแฟให้คุณปู่เวลาที่คุณปู่ของเธอกลับเข้าบ้าน ทำความสะอาดบ้านและซักเสื้อผ้านิดๆ หน่อยๆ ตอนเกรซอายุ 7-8 ขวบ เกรซยังเคยดูแลลูกพี่ลูกน้องของเธอ ตอนที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอนั้นยังแบเบาะ พอเกรซมานั่งคิดดู เธอรู้สึกว่าผู้ใหญ่ในบ้านของเธอนั้น ต้องเชื่อใจเธอเป็นอย่างมาก เพราะเธอจำได้ว่าบางทีเธอก็ถูกปล่อยไว้ที่บ้านกับลูกพี่ลูกน้องสองคน
     ตอนแรกนั้นเกรซไม่รู้เลยว่างานผู้ช่วยดูแลคืออะไร เพราะเกรซไม่เคยได้ยินอาชีพนี้มาก่อนและไม่คิดว่าในประเทศไทยมีงานตำแหน่งนี้อยู่ ที่ใกล้เคียงที่สุดที่เกรซเคยได้ยินก็คือผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะต้องมีวุฒิถึงจะทำได้ ด้วยเหตุนี้เองเกรซจึงไม่เคยคิดที่จะทำงานในด้านนี้มาก่อน จนเพื่อนของเธอบอกให้เธอลองหางานทางอินเตอร์เนต ซึ่งก็มีงานหลายงานที่น่าสนใจ รวมทั้งงานดูแลคุณยาย ความจำเสื่อมอายุ 90 กว่า เกรซได้ส่งใบสมัครไปทางอีเมล์ โดยการส่งประวัติการทำงานและเล่าเรื่องราวที่เธอเคยมีประสบการณ์ในการดูแลคุณปู่ของเธอมา และก็รอคำตอบรับด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดเธอก็ได้รับเชิญให้เข้าสอบสัมภาษณ์จากญาติของคุณยาย ในวันสอบสัมภาษณ์นั้นเกรซรู้สึกประหม่า เนื่องจากภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นภาษาแรกของเธอ  เธอจึงไม่แน่ใจว่าเธอจะเหมาะสมกับตำแหน่งถึงแม้ว่าการสัมภาษณ์นั้นจะเป็นการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการซึ่งถูกจัดขึ้นที่บ้านของคุณยาย
     เกรซเดินทางมาที่สถานที่สอบสัมภาษณ์แต่เนิ่น เพื่อที่เธอจะสามารถมีเวลาในการหาเลขที่บ้านที่เธอได้มา พอเธอหาตัวบ้านเจอแล้ว เธอก็เดินไปเดินมา ตรวจสอบแถวระแวกบ้าน เพื่อรอจนกระทั่งเวลาในการสัมภาษณ์มาถึง พอได้เวลาเธอก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน และเกรซก็พบกับคุณยายที่น่ารัก เธออยู่ในชุดที่ดูเป็นชาวอังกฤษจ๋าทีเดียว ผมของคุณยายนั้นเป็นสีเงิน สั้นแต่ดก ท่านมีตาสีน้ำตาลที่ดูอ่อนโยน ดูจากเรี่ยวแรงและผิวพรรณที่สมบูรณ์แสดงให้เห็นว่าท่านนั้นยังแข็งแรงอยู่มากทีเดียว เกรซชอบใจการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นเหมือนการคุยกันซะมากกว่าในวันนั้น แต่เธอก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเธอจะได้งาน เกรซรอฟังคำตอบอยู่เป็นอาทิตย์ๆ และแล้วเธอก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าเธอได้งาน


คุณยายน่ารัก

อาการของคุณยายท่านนี้คือ ท่านอายุมาก ซึ่งทำให้ท่านเกิดอาการความจำเสื่อม ท่านไม่สามารถจำเรื่องอะไรได้ทั้งหมดแต่เกรซสังเกตเห็นว่าท่านสามารถจำสิ่งที่ท่านทำเป็นประจำได้ เช่นการ หั่นผัก ล้างถ้วย ล้างชาม เกรซจากคนที่เคยเป็นคนหยิ่งยะโส ตอนที่เธออยู่เมืองไทย พอเธอได้มาทำงานตรงนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนจริงๆ งานตำแหน่งนี้เป็นงานที่ผู้ช่วยต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของนายจ้าง ดังนั้นเกรซจึงต้องย้ายเข้าพักอาศัยที่บ้านของคุณยาย โดยที่เกรซนั้นมีห้องพักส่วนตัวเป็นของเธอเอง

ตัวอย่างห้องพัก

ชั่วโมงการทำงานนั้นยอดเยี่ยมเพราะไม่เพียงแต่งานจะเป็นงานแบ่งกันทำกับพนักงานอีกคนหนึ่ง แต่ว่าพนักงานยังสามารถออกไปทำอะไรนอกบ้านได้ในวันทำงานอีกด้วย ตัวอย่างตารางการทำงานมีดังนี้

(เวลาที่ระบุเป็นเวลาโดยประมาณ)
08:00 – 09:00    ตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัวให้กับคุณยาย 
09:00 – 10:00    อาหารเช้า ก็ง่ายๆ ท่านรับประทาน ขนมปังปิ้ง
10:00 16:00    ผู้ดูแลสามารถออกจากบ้านไปทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ  
16:00 17:00    ผู้ดูแลต้องกลับเข้าบ้านเพื่อที่จะเตรียมอาหารเย็น อาหารเย็นก็สบายๆ เพราะคุณยายชอบทาน Fish fingers และ Quiche ซึ่งปรุงกันง่ายๆ ก็แค่ใส่ไปในไมโครเวฟ คุณยายชอบทำกับข้าว ท่านก็มักจะยืนอยู่ด้วย หยิบโน่น หยิบนี่ ทั้งหั่นผักและล้างจาน
17:00 – 21:00     แล้วก็มานั่งดูทีวี ดื่มชา คุกกี้ บางทีก็ออกไปเดินเล่นแถวระแวกบ้าน
ตัวอย่าง Fish fingers
ภาพโดย: callandermcdowell.co.uk

ตัวอย่าง: Quiche
ภาพโดย: knightsmeats.com.au
     
และยังมีหน้าที่ในการทำความสะอาดบ้านที่ต้องทำทุกอาทิตย์ แต่เพราะงานนั้นเป็นงานแบ่งระหว่างผู้ดูแลสองคน การทำความสะอาดบ้านจึงเหลือแค่อาทิตย์เว้นอาทิตย์ สำหรับเกรซงานนี้เป็นอะไรที่เกรซชอบมากเพราะมันไม่เหมือนกับการทำงานเลยสำหรับเธอ มันเหมือนกับตอนที่เธออยู่กับคุณปู่ของเธอ เนื่องจากคุณยายท่านมีสุขภาพแข็งแรง ดังนั้นท่านจึงสามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้เกือบทั้งหมด ไม่มีภาระไหนเลยที่เกรซรู้สึกว่ายากหรืออืดอัดที่จะทำ แถมเกรซยังได้เรียนรู้การทำอาหารเมนูอังกฤษที่เรียกว่า “Cauliflower cheese” จากลูกสาวของคุณยายอีกด้วย

ตัวอย่าง Cauliflower cheese
ภาพโดย: korasoi.blogspot.com


เกรซรู้สึกชอบงานลักษณะนี้เป็นอย่างมากเพราะเธอรู้สึกว่าเธอทำประโยชน์ให้กับชีวิตของผู้อื่น เธอถึงขนาดอยากจะไปลงเรียนพยาบาลเลยทีเดียว แต่บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกเสียดายเธอมักจะคิดว่าเธอจะเอายังไงดีเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของเธอ เนื่องจากดังที่ได้กล่าวมาในบทที่ 2 ว่าเกรซนั้นเดินทางมายังประเทศอังกฤษเพื่อที่จะทำการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ แต่แล้วเธอดันเลือกมาทำงานทางด้านนี้ แล้วถ้าเธอยังจะทำงานด้านนี้ต่อไป เธอจะต้องละทิ้งสายงานที่เธออุตส่าห์เล่าเรียนมา แต่เพราะเธอรู้สึกดีกับงานนี้มากเธอจึงบอกตัวเองว่า ทำงานนี้ไปก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยทำงานตามสายที่เธอเรียนมาตอนกลับเมืองไทย เธอยังคิดอีกว่าอย่างน้อยเธอก็ได้ฝึกภาษาและเรียนรู้วัฒนธรรมที่แท้จริงของชาวอังกฤษ
     แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเกรซจะได้มีประสบการณ์งานที่แสนดีจากงานนี้ มีนายจ้างที่น่ารัก ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ไม่มี แต่เธอก็ยังไม่พอใจ เนื่องจากเธอได้รับค่าจ้างอยู่แค่ 60 ปอนด์ต่ออาทิตย์ ดังนั้นเธอจึงเริ่มมองหางานอื่นๆ ที่จ่ายมากกว่า เกรซได้เห็นงานผู้ช่วยดูแลคนพิการที่อยู่ระหว่าง 450-550 ปอนด์ต่ออาทิตย์ (ซึ่งต้องทำอาทิตย์เว้นอาทิตย์) ในขณะนั้น 450-550 ปอนด์ แลกเป็นเงินไทยก็ตกอยู่ที่ 36,000 – 44,000 บาท เดือนหนึ่งก็จะตกอยู่ที่ 80,000 กว่าบาท เธอจึงเกิดความโลภเพราะดูจากตัวเลขนั้นมันดูมากโขอยู่ทีเดียว เธอจึงคิดว่าเธอคงจะเก็บเงินได้เยอะ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้เป็นดังที่เธอได้คาดหวังเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว

ผู้ช่วย ดูแลเจ้าของธุรกิจซึ่งได้รับบาดเจ็บไขสันหลัง (อัมพาต)
รายละเอียดของโฆษณางานนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับเกรซเป็นอย่างมาก นอกจากเงินเดือนที่แปลเป็นเงินไทยนั้นดูเหมือนจะเยอะแล้ว แถมชื่อตำแหน่งนั้นคือ “Personal Care Assistant”  ซึ่งใกล้เคียงกับงานเลขาที่เกรซอยากจะทำมาก่อน  เจ้านายก็เป็นผู้ประกอบธุรกิจ เกรซจึงรู้สึกว่าเธออาจจะได้มีโอกาส ที่จะใช้วิชาที่เธอเรียนมากับงานนี้ และหลังจากที่เกรซได้ทำงานดูแลคุณยายมาแล้ว เธอก็รู้สึกว่าถ้าได้ทำงานดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไขสันหลังก็จะทำให้เกรซได้ประสบการณ์งานเพิ่มซึ่งแตกต่างไปและน่าท้าทายอีกด้วย พร้อมทั้งในรายละเอียดของงานนั้น ได้มีการระบุว่าเจ้านายเป็นคนรักสัตว์และมีหนูชินชิล่าและเนื่องจากเกรซเติบโตมากับสัตว์เธอจึงเป็นคนรักสัตว์และรู้สึกว่างานนี้ฟังดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก

หนูชินชิร่า
ภาพโดย: luigicodhindhillas.webs.com



เกรซได้เขียนใบสมัครงานและส่งประวัติการทำงานของเธอผ่านทางอีเมล์ และนายจ้างก็ได้ตอบกลับและได้มีการคุยสนทนากันทางโทรศัพท์ เพื่อที่จะทำการนัดวันในการสอบสัมภาษณ์ ในการคุยทางโทรศัพท์นั้นดูเหมือนว่าเจ้านายท่านนี้ฟังดูเป็นกันเองเป็นอย่างมาก คำถามที่เกรซถูกถามก็เป็นคำถามทั่วไป เช่น เคยทำอะไรมาบ้างในหน้าที่ดูแลคนชรา เกรซก็ได้รายงานไปตามปกติว่าเธอทำอะไรมาบ้าง เกรซรู้สึกประหม่าในการตอบคำถามนิดหน่อย เพราะเธอทำกับข้าวไม่เป็น เธอจึงพยายามถามนายว่าท่านรับประทานอาหารอะไรบ้าง เช่น ท่านทานอะไรในมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น เนื่องจากเกรซทอดไข่เป็นเธอจึงถามท่านไปว่า ท่านรับประทานไข่ไหม ท่านตอบตลกๆ กลับมาว่า “เราไม่ทานมากหรอกไข่นะเพราะมันทำให้เราตด” เกรซก็รู้สึกขำเป็นอย่างมาก (เพราะเกรซคิดในใจว่า เอาจริงดิ มีงี้ด้วย คุยกันครั้งแรกก็พูดเรื่องตดเนี่ยนะ) แต่พอเกรซได้ทำงานมาซักพักเธอมาสังเกตเห็นที่หลังว่า ตอนที่เจ้านายของเธอสัมภาษณ์งานกับลูกจ้างอีกคนหนึ่งทางโทรศัพท์ท่านก็ได้สอดแทรกเรื่องฮาๆ เข้าไปเช่นกันแต่เขาไม่ขำเลย ท่านยังหันมาพูดกับเกรซว่า เขาไม่เห็นหัวเราะเลยตอนที่เราพูดเรื่องฮา เกรซถึงได้เข้าใจว่านั่นคงจะเป็นวิธีการคัดเลือกพนักงานวิธีหนึ่ง เพราะมันทำให้รู้ว่าภาษาอังกฤษของผู้สมัครงานเข้ามานั้นใช้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าผู้ถูกสัมภาษณ์ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรือฟังไม่ทันก็จะไม่หัวเราะ รวมถึงลักษณะการทำงานดูแลคนพิการแบบตัวต่อตัวนี้ พนักงานจะต้องสนิทกับเจ้านายในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ฉะนั้นการคุยแบบเป็นกันเองนี้จะช่วยลดความเก้อเขินในช่วงเริ่มงานใหม่ๆ ได้มาก
     ในวันสอบสัมภาษณ์นั้น เกรซต้องนั่งรถไฟจากตัวเมืองลอนดอนขึ้นไปที่เมืองแมนเชสเตอร์ ค่ารถไฟจากกรุงลอนดอน ไปถึงเมืองแมนเชสเตอร์นั้นตกอยู่ที่ 58 ปอนด์ (ซึ่งในขณะนั้นก็เป็นจำนวนเงินอยู่ที่ประมาณ 4,640 บาท) ยังดีที่อย่างน้อยผู้ว่าจ้างยอมที่จะชดใช้ค่าเดินทางให้ถ้าหากว่าเกรซนั้นผ่านการคัดเลือก ตอนหลังเกรซได้มารู้ว่ามันมีส่วนลดพิเศษสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียว โดยเฉพาะถ้ามีการจองล่วงหน้าไว้ เกรซรู้สึกเสียดายเงินเป็นอย่างมากเพราะกว่าจะรู้เกรซได้จ่ายในราคาเต็มไปแล้วหลายรอบ
     ลิงค์ด้านล่างนี้เป็นเว็บไซต์รวมข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางโดยรถไฟในประเทศอังกฤษและส่วนลดต่างๆ เผื่อไว้สำหรับท่านผู้อ่านที่ได้เดินทางมาที่ประเทศอังกฤษและต้องเดินทางโดยรถไฟ 




ภาพโดย: timetable.co.uk

ในวันสัมภาษณ์นั้นเป็นช่วงหน้าร้อนซึ่งอยู่ในเดือนสิงหาคม เกรซใส่ชุดกระโปรงแซกยาวถึงน่อง แต่พอเกรซนั่งรถไฟมาถึงเมืองแมสเชสเตอร์ ฝนดันตกแถมหนาวอีก แล้วเธอก็ไม่ได้เตรียมร่มมา พร้อมทั้งเสื้อผ้าที่เธอใส่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เธอทั้งเปียกทั้งหนาวเพราะเธอไม่ได้นึกว่าเธอควรจะต้องวางแผนการเดินทางมาก่อน เนื่องจากตอนที่เธออยู่ในประเทศไทยนั้นเธออยู่แต่ในกรุงเทพฯ และเธอก็คุ้นเคยกับถนนเกือบทุกเส้นสาย เธอไม่ค่อยได้เดินทางโดยการใช้รถสาธารณะไปตามต่างจังหวัด เธอจึงไม่รู้ว่าเธอจำเป็นจะต้องดูแผนที่ ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน พอเธอมาถึงสถานีรถไฟหลักของแมนเชสเตอร์ที่มีชื่อว่า “แมนเชสเตอร์พิคคาดิลลี่” เธอก็วิ่งออกมาเพราะเธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องขึ้นรถไฟอีกต่อหนึ่งเพื่อไปยังที่บ้านเจ้านายท่านนี้ซึ่งถูกใช้เป็นที่สัมภาษณ์งานด้วย เธอคิดไปว่าพอมาถึงที่สถานีหลักแล้ว เธอก็สามารถเดินไปที่บ้านเจ้านายได้เลย สุดท้ายเธอได้โทรศัพท์เข้าไปหาเจ้านายของเธอ แล้วได้รู้ว่าเธอต้องขึ้นรถไฟอีกต่อหนึ่ง เธอก็เดินตากฝนวนไปวนมา คอยถามผู้คนไปตลอดทางที่เดิน ว่าสถานีรถไฟมันอยู่ตรงไหน จนมาถึงสถานีรถไฟที่เธอวิ่งออกมาตอนแรกแต่คนละประตูทางเข้าเธอก็คิดกับตัวเธอเองว่า เธอนี่โง่จริงๆ ไม่รู้จะเดินออกมาทำไม แต่มันทำให้เธอเรียนรู้ว่าเวลาไปอยู่ในสถานที่ใหม่ๆ นั้น ถนนหนทางมันไม่ได้เหมือนกับบ้านเมืองที่เธอจากมา เธอจำเป็นจะต้องดูแผนที่ แม้แต่ขนาดดูแผนที่บางทีเกรซก็ยังหลงอยู่ ขนาดสามีซึ่งเป็นชาวอังกฤษของเธอก็ยังหลงเพราะถนนหนทางในประเทศอังกฤษนั้นค่อนข้างซับซ้อน
     สุดท้ายเกรซก็เข้าสัมภาษณ์งานสาย โชคดีที่เกรซได้โทรบอกเจ้านายของเธออยู่เรื่อยๆ ว่าเธอนั้นถึงไหนแล้ว นายจ้างของเธอจึงเข้าใจ ตอนหลังพอเกรซย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ เธอก็มารู้อีกว่าเมืองแมนเชสเตอร์นั้นเป็นเมืองที่ฝนตกเป็นประจำ ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากประเทศไทยที่มีภูมิอากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาคแต่ละจังหวัด เธอจึงได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า เธอน่าจะได้ทำการค้นหาข้อมูลเสียก่อนว่าเมืองไหนเป็นอย่างไรและมีภูมิอากาศเช่นไรก่อนที่จะสมัครงานหรือย้ายที่อยู่ไปที่เมืองนั้นๆ 



สถานีแมนเชสเตอร์พิคคาดิลลี่
ภาพโดย: en.wikipedia.org

     

ตอนเกรซเข้าไปในบ้านเจ้านายท่านนี้ เธอไม่ค่อยรู้สึกประหม่าเท่าไรนัก เพราะว่าเธอเหนื่อยกับการเดินทาง พร้อมทั้งบ้านของเจ้านายท่านนี้มีสุนัขตัวโตน่ารัก เกรซด้วยความที่คิดถึงบ้านที่เธอจากมาซึ่งมีสัตว์เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา เธอจึงไม่รู้สึกเขินอายเพราะพอเธอเดินเข้าไปในบ้าน เธอก็ทักทายกับสุนัข เกรซและสุนัขตัวนี้ได้เป็นเหมือนเพื่อนรักกัน ถึงขนาดที่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สุนัขตัวนี้ได้ปีนขึ้นมานอนบนเตียงของเกรซเลยทีเดียว เตียงพนักงานก็เป็นเตียงขนาดเล็ก แถมตัวสุนัขตัวนี้ก็ใหญ่ เพราะมันเป็นพันธ์ใหญ่ที่ชื่อว่า อคิตะ แต่เกรซไม่อยากไล่สุนัขตัวนี้ลงไปจากเตียงเพราะเธอเห็นว่ามันกำลังหลับเคลิ้มอยู่ทีเดียว เธอจึงต้องนอนเบียดกับมันไปบนเตียงเล็กนั่นแหละ เจ้านายยังบอกเกรซตอนหลังว่าแปลกมากที่สุนัขตัวนี้ไม่เห่าเลยแม้แต่นิดเดียวตอนที่เกรซเดินเข้ามา ซึ่งค่อนข้างแปลกเพราะมันจะเห่าทุกครั้งที่มีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาในบ้าน



RIP Ruby
Thank you for everything, we love you. 



ในการสัมภาษณ์ก็มีการคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับประวัติในการทำงานที่เคยทำมา พร้อมทั้งมีการสาธิตงานบางส่วนจากพนักงานรุ่นพี่ เนื่องจากเจ้านายท่านนี้ได้รับบาดเจ็บไขสันหลัง เจ้านายจึงเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงไหล่ลงมาทั้งตัว ท่านต้องอยู่ในเก้าอี้ล้อ เพราะท่านไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายได้จากช่วงไหลลงมา ดังนั้นผู้ช่วยต้องดูแลตั้งแต่ตอนที่เจ้านายตื่นนอนไปจนถึงตอนเข้านอนเลยทีเดียว เกรซรู้สึก wow เป็นอย่างมากตอนที่เธอได้เห็นเครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยต่างๆ เช่น ในการช่วยเหลือผู้ป่วยออกจากเตียงมาที่เก้าอี้ล้อนั้น จะมีเครื่องมือที่เลือกว่า เครื่องยก ที่มีทั้งแบบไฟฟ้าและแบบมือ ซึ่งช่วยทุ่นแรงพนักงานได้เยอะมาก



เครื่องยก
ภาพโดย: Southerncare.co.uk



พนักงานรุ่นพี่ก็ได้สาธิตการเคลื่อนย้ายเจ้านายของเกรซท่านนี้จากบนเตียงนอนมาที่เก้าอี้ล้อ ในระหว่างการสาธิตนั้น เกรซก็ได้เผลอหัวเราะออกมาดังลั่น เพราะเธอเห็นเจ้านายของเธอดูเหมือนกับเด็กยักษ์ที่อยู่ในเปลอย่างไงอย่างงั้นไม่มีผิด ตอนแรกเกรซยังนึกว่าเธอคงจะไม่ได้งานแล้วแน่ๆ เพราะเธอดันหัวเราะออกมาซะดัง แต่ตอนหลังเจ้านายท่านนี้ได้บอกกับเธอว่า เธอนั้นได้งานก็เพราะว่าเธอหัวเราะนี่แหละ เนื่องจากการทำงานลักษณะนี้ ผู้ช่วยนั้นจะต้องอยู่กับเจ้านายตลอดเวลาและจะต้องเข้ากับเจ้านายได้ เนื่องจากเจ้านายท่านนี้เป็นคนตลก ดังนั้นตามปกติทั่วไปของมนุษย์ ท่านก็จะต้องเลือกคนที่มีความฮาอยู่ในตัวบ้างจะได้เข้ากันได้ ถ้าหากเกรซเจอเจ้านายที่ค่อนข้างเคร่งเครียดในวันนั้นเธอคงไม่ได้งานแน่  พร้อมทั้งในวันสัมภาษณ์นั้นเกรซได้ใส่รองเท้าแตะที่เป็นพรวนกระดิ่งไปด้วย ทุกวันนี้เจ้านายท่านนี้ยังอดขำไม่ได้ ท่านเล่าให้เกรซฟังว่าตอนเกรซเดินเข้ามา ท่านและเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ก็นึกว่ามันเสียงอะไรและพอได้เห็นรองเท้าของเกรซก็ขำกันเป็นแถว (อย่างว่าชาวต่างชาติไม่ค่อยได้เห็นรองเท้าแตะพรวนกระดิ่ง เขาก็จะรู้สึกว่ามันเป็นของแปลกแต่เขาก็ชอบใจ ด้วยความแปลกที่แตกต่าง)
     สำหรับงานผู้ช่วยที่เป็นแบบตัวต่อตัว ทำงานกับนายจ้างคนเดียวโดยตรงนั้น ตารางเวลาในการทำงานในแต่ละที่จะไม่เหมือนกันเลย เพราะจะขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของนายจ้างแต่ละท่าน กิจกรรมที่ไม่ใช่กิจกรรมหลักจะเปลี่ยนแปลงไปตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้าง ดังนั้นผู้ช่วยต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวันให้ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเป็นงานผู้ช่วยดูแลในศูนย์นั้นตารางเวลาในการทำงานจะคล้ายๆ กันในแต่ละวัน
     สำหรับเจ้านายของเกรซท่านนี้ ตารางเวลาการทำงานจะคล้ายๆ กันในวันทำงานจันทร์ – ศุกร์ ซึ่งค่อนข้างจะแน่นเอียดเนื่องจากเจ้านายท่านนี้ประกอบธุรกิจส่วนตัว แต่ในวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์จะแตกต่างจากวันธรรมดา ซึ่งค่อนข้างจะ สบายๆ ตื่นสายได้ ตามเวลาที่เจ้านายตื่น ตารางคร่าวๆ ในวันธรรมดาจันทร์ – ศุกร์มีตัวอย่างดังต่อไปนี้


08:30 – 09:00    เปิดประตูให้พยาบาลเข้ามาทำการขับถ่ายให้เจ้านาย ผู้ช่วยพาสุนัขออกไปเดิน 15-20นาที
09:00 – 10:00    อาบน้ำ วันเว้นวัน วันไหนที่ไม่ได้มีการอาบน้ำก็จะมีการทำกายภาพบำบัดอายุรเวททางร่างกาย ซึ่งเป็นการบริหารร่างกายให้กับผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยนั้นเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีการบริหารร่างกายให้กับผู้ป่วย ผู้ช่วยต้องจับเคลื่อนไหวร่างกายส่วนต่างๆ ให้ผู้ป่วย
10:00 – 11:00    แต่งตัว ทำการเคลื่อนย้ายจากเตียงนอน มาที่รถล้อ แปรงฟัน ล้างหน้า ทำผม
11:00 – 17:00   จัดตั้งเครื่องมือต่างๆ ให้เจ้านายอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พร้อมที่จะทำงาน, เสริฟ์และป้อนชา (ทั้งวัน) ป้อนอาหารเช้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นซีเรียล, เก็บที่นอน, ทำความสะอาดส่วนที่ใช้มาเช่นในห้องน้ำ, ทำความสะอาดบ้าน, ซักผ้า, รีดผ้า, ล้างจาน และจะมีการเรียกทั้งวัน แล้วแต่นายจะเรียกใช้อะไร เช่น อาจให้ต่อโทรศัพท์, พิมพ์อีเมล์, ออกไปซื้อของ, รดน้ำต้นไม้, ตัดหญ้า, ล้างกรงนก, ล้างตูปลา แต่งานเหล่านี้ไม่ได้ต้องทำทุกวัน เช่นสามอย่างหลังจะทำแค่อาทิตย์ละครั้ง
                                ช่วงนี้อาจมีการทำอาหารมื้อเล็กๆ มาอุ่นไมโครเวฟง่ายๆ มาป้อนเป็นมื้อกลางวัน
17:00 – 21:00    เริ่มทำอาหารเย็น เสริฟ์และป้อน ล้างถ้วยล้างจาน พาสุนัขออกไปเดิน 15-20 นาที ช่วงนี้หากมีงานที่ทำค้างอยู่ตอนกลางวันก็มาทำต่อให้เสร็จ
21:00 – 24:00      เคลื่อนย้ายจากรถล้อมาที่เตียงนอน ทำกายภาพบำบัดอายุรเวททางร่างกาย จัดวางท่านอน
24:00 – 08:30      ผู้ช่วยเข้าห้องตัวเองนอนหลับได้แต่หากท่านอนของผู้ป่วยนั้นเคลื่อนย้ายไปจากเดิมจะมีการเรียกกลางดึกครั้งสองครั้งหรือมากกว่านั้น แต่บางคืนก็ไม่มีเลย            
     รายละเอียดในการปฏิบัติงานจากตารางด้านบน เริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะอาบน้ำให้ผู้ป่วยนั้น อันดับแรกพนักงานจะต้องจับผู้ป่วยพลิกจากท่านอนหันข้างมาอยู่ในท่านอนหงายปกติ แต่ก่อนที่จะจับผู้ป่วยพลิกมาอยู่ในท่านอนหงาย ผู้ช่วยดูแลจะต้องถอดถุงปัสสาวะออกเสียก่อน พนักงานจะต้องคอยระวังถุงปัสสาวะนี้เป็นอย่างมากในทุกเวลาเพราะสายของถุงซึ่งดูเหมือนถุงปัสสาวะนี้มีลักษณะเหมือนถุงน้ำเกลือ แต่ถูกติดอยู่กับอวัยวะเพศของผู้ป่วย ในเวลากลางวันจะใช้ถุงขนาดเล็กซึ่งจะถูกนำมาติดไว้ตรงขาของผู้ป่วย พนักงานต้องคอยเช็คตลอดอย่าให้ถุงเต็มจนเกินไปไม่อย่างนั้นผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศรีษะได้ และพนักงานจะต้องระวังที่จะไม่ลืมปิดลิ้นของถุงเสมอหลังจากที่รินปัสสาวะของผู้ป่วยออกแล้วในแต่ละครั้ง ไม่อย่างนั้นน้ำปัสสาวะก็จะไหลออกมาเหมือนถุงรั่ว ในตอนกลางคืนจะต้องใช้ทั้งถุงขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ถุงขนาดเล็กจะถูกกลัดไว้ด้วยเข็มกลัดตรงด้านข้างเตียงของผู้ป่วยและถุงจะถูกเชื่อมต่อกับถุงขนาดใหญ่ซึ่งจะถูกวางไว้ตรงพื้นซึ่งมีกะละมังใบเล็กๆ รองรับอยู่

ถุงปัสสาวะ
ภาพโดย: manfredsauer.co.uk

พนักงานต้องไม่ลืมที่จะถอดถุงใหญ่ออกจากถุงเล็กและที่สำคัญถอดเข็มกลัดที่กลัดถุงเล็กข้างเตียงนั้นออกด้วย ไม่อย่างนั้นเวลาพลิกผู้ป่วยสายก็จะดึงรั้งกับอวัยวะเพศของผู้ป่วย แต่ปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ ผู้ป่วยด้วยความที่ไม่สามารถรับความรู้สึกได้ก็จะไม่กรีดร้องบอกใครให้รับรู้ สายนั้นอาจจะรั้งอยู่เป็นชั่วโมงกว่าพนักงานหรือตัวผู้ป่วยเองจะมาเห็น อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกิดอาการติดเชื้อ พนักงานจำเป็นจะต้องจำไว้อยู่เสมอว่าผู้ป่วยไม่สามารถรับความรู้สึกจากร่างกายบางส่วนได้ดังนั้นเวลาเจ็บหรือปวด ผู้ป่วยไม่สามารถบอกได้
     เกรซได้ยินเรื่องเล่าจากเพื่อนของเธอคนหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ประสบอุบัติเหตุซึ่งทำให้เขาเป็นอัมภาตเช่นกันว่า มีอยู่วันหนึ่งคุณแม่ของรุ่นพี่คนนี้ได้มาดูแลลูกชายซึ่งเป็นอัมภาต และได้ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวที่ใส่อยู่ในถุงพลาสติกและมีความร้อนสูงมา แล้วพอถึงบ้านคุณแม่ท่านก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ท่านก็วางถุงนั้นไว้บนตักของรุ่นพี่ท่านนี้แล้วไปรับโทรศัพท์ แล้วก็ไปทำอย่างอื่นต่อ พอมานึกได้แล้วมาเห็นถุงก๋วยเตี๋ยววางอยู่บนตักของลูกชายตนก็ตกใจเป็นอย่างมาก ส่วนตัวลูกชายนั้นเนื่องจากเขาไม่สามารถรับความรู้สึกได้ก็จึงไม่ได้รับความเจ็บปวดหรือร้องโวยวายแต่อย่างใด จนมาเห็นตักของตัวเองที่เป็นรอยแดงจึงได้รู้ตัว
     นอกจากผู้ป่วยที่เป็นอัมภาตจะไม่สามารถรับความรู้สึกได้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และยังไม่สามารถควบคุมร่างกายที่บางเวลามีการเคลื่อนไหวเองอีกด้วย อาการชักและเคลื่อนไหวเองนี้เรียกว่า อาการกล้ามเนื้อกระตุก ตอนที่เกรซได้เรียนรู้ถึงตรงจุดนี้เกรซรู้สึกเศร้าเป็นอย่างมากเพราะเกรซจากคนที่ไม่รู้จักพอ เธอเริ่มที่จะเห็นคุณค่าของการแค่ได้มีชีวิตอยู่ ได้เดิน ได้เห็น ได้รับความรู้สึก ตอนที่เจ้านายเห็นเกรซเศร้าเพราะสงสารท่าน ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่มีความคิดในแง่บวกท่านก็ได้บอกว่า มันมีข้อดีนะ เพราะท่านไม่ต้องมานั่งรู้สึกถึงความทรมานเวลาที่มีอาการเจ็บปวดตามร่างกาย
     หลังจากที่ถอดถุงปัสสาวะออกหมดแล้ว ผู้ช่วยสามารถพลิกผู้ป่วยจากท่านอนที่ได้จัดไว้ในท่านอนตะแคงข้างมาเป็นท่านอนหงายปกติได้ สาหตุที่ท่านอนตะแคงได้ถูกจัดให้เป็นท่าบังคับนั้นเพราะว่า เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ดังนั้นถ้าหากผู้ป่วยนอนหงายปกติ และไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเลยเป็นเวลานานจะทำให้เกิดรอยฟกช้ำตามร่างกายผู้ป่วยจึงต้องนอนตะแคงข้างเสมอในเวลานอนหลับระยายาวในตอนกลางคืน


รอยฟกช้ำ
ภาพโดย: 1015jamz.radio.com


ต่อมาในการอาบน้ำนั้น ผู้ช่วยต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงนอนมาที่เตียงอาบน้ำ แล้วเข็นเตียงอาบน้ำเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อที่จะทำการชำระล้างร่างกายให้กับผู้ป่วย หลังจากอาบน้ำให้ผู้ป่วยเรียบร้อยแล้วผู้ช่วยจะต้องเช็ดตัวของผู้ป่วยให้แห้งสนิท แล้วจึงจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับมาที่เตียงนอน และแต่งตัวให้กับผู้ป่วยได้ การแต่งตัวนั้นค่อนข้างสนุก เกรซรู้สึกว่ามันไม่ได้แตกต่างกับการแต่งตัวตุ๊กตาบาร์บี้มากนัก

เตียงอาบน้ำ
ภาพโดย: ilcaustralia.org

     
หลังจากนั้นก็เคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงมาที่รถล้อโดยใช้เครื่องยกดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้านบน ในการนั่งบนรถล้อของผู้ป่วยนี้จะต้องมีการจัดตำแหน่งตัวผู้ป่วยกับรถล้อให้ดี โดยการกะระดับในการหย่อนตัวผู้ป่วยลงมาจากเครื่องยกกับเก้าอี้ล้อให้ตรงกัน หลังจากหย่อนผู้ป่วยลงในเก้าอี้ล้อแล้ว ผู้ช่วยจะต้องจัดเท้าทั้งสองของผู้ป่วยให้อยู่ในที่วางเท้า และจะต้องดึงผู้ป่วยจากทางด้านหลัง โดยค่อยๆ พลักให้ผู้ป่วยโน้มตัวลงแล้วเอามือสอดไปจับกางเกงด้านหลังของผู้ป่วยแล้วดึงผู้ป่วยให้ตัวของผู้ป่วยเคลื่อนมาให้ชิดกับด้านหลังของเก้าอี้ให้มากที่สุด บ่อยครั้งที่เกรซรู้สึกเหนื่อยกับการเคลื่อนย้ายตรงนี้เพราะเกรซนั้นตัวไม่ใหญ่นักเธอจึงไม่ค่อยมีแรงเวลาดึง ในบางวันต้องดึงกันอยู่ 2-4 ทีเลยทีเดียว หลังจากนายจ้างของเกรซท่านนี้ได้นั่งอยู่ในรถล้อแล้ว ท่านก็สามารถบังคับรถล้อของท่านไปไหนมาไหนได้เอง เนื่องจากรถล้อของท่านนั้นเป็นแบบไฟฟ้าที่ทันสมัย

รถล้อไฟฟ้า
ภาพโดย: mndassociation.org

     

จากนั้นก็ทำการแปรงฟัน ล้างหน้า การล้างหน้าก็ใช้ผ้าขนหนูอุ่นชื้นเช็ด โกนหนวดเป็นครั้งคราว และก็จัดแต่งทรงผม หลังจากนั้นนายท่านก็จะเข้าประจำที่ เตรียมพร้อมที่จะทำงานในห้องทำงาน เนื่องจากท่านเป็นกราฟฟิคดีไซน์เนอร์ แต่เพราะท่านเป็นอัมภาต ท่านจึงต้องมีเครื่องไม้ เครื่องมือพิเศษ ที่ใช้สำหรับช่วยในการทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนที่เกรซได้เห็นเครื่องไม้ เครื่องมือ ต่างๆ เกรซรู้สึก wow อีก เธอคิดในใจว่า หากในประเทศไทยมีเครื่องมือช่วยคนพิการแบบนี้บ้างคงจะดี ในประเทศไทยนั้น นอกจากจะไม่มี การให้ผลประโยชน์กับคนโดยทั่วๆ ไปแล้ว ยังไม่มีการให้ผลประโยชน์กับคนพิการอีกด้วย หลายคนที่พิการในประเทศอย่างประเทศไทยนั้นจะไม่สามารถทำอะไรได้มาก เกรซรู้สึกเสียดาย เพราะบ่อยครั้งที่เธอเห็นคนพิการที่เมืองไทย ถูกปล่อยให้เหมือนเป็นคนไร้ความสามารถไปเลย ซึ่งในความเป็นจริงนั้น คนพิการนั้น พิการก็เพียงแค่ทางร่างกายเท่านั้น สมองของเขาไม่ได้พิการไปด้วย เห็นได้ชัดจากตัวอย่างของเจ้านายของเกรซท่านนี้  ที่ผลงานของท่านได้ถูกนำลงนิตยสารชื่อดังในประเทศอังกฤษที่มีชื่อว่า Advanced Photoshop  อยู่หลายรอบด้วยกัน



หนึ่งในงานของเจ้านายเกรซ
ภาพโดย: icreatemagazine.com



เกรซเกรงว่าผู้อ่านอาจจะมองไม่เห็นภาพในการใช้คอมพิวเตอร์ของนายท่านนี้ ว่าท่านทำงานได้ยังไง ทั้งๆ ที่ท่านไม่สามารถขยับร่างกายได้ตั้งแต่ช่วยหัวไหล่ลงมา อุปกรณ์ที่ใช้เป็นตัวช่วย ที่สามารถทำให้นายจ้างของเกรซท่านนี้ ทำงานได้นั้นมีอยู่สองตัวด้วยกัน ตัวแรกคือหูฟัง หูฟังนี้ดูไปดูมาจะมีลักษณะคล้ายกันกับหูฟังที่เราใช้ฟังเพลงทั่วไป แแต่หูฟังนี้จะมีตัวเซนเซอร์ ซึ่งเป็นตัวใช้บังคับการเคลื่อนไหวของตัวลูกศรที่เราเห็นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมือนกับเวลาที่เราใช้มือลากเมาวส์ไปมา ดังนั้นเวลาใช้ตัวหูฟังนี้ก็จะต้องส่ายหัวไปมาแทน ส่วนตัวช่วยตัวที่สองคือ หลอด หลอดนี้ได้ถูกนำมาติดกับหูฟัง ตัวหลอดถูกนำมาใช้แทนการ คลิก โดยการเป่าเข้าไปในหลอด เซนเซอร์ก็จะส่งผ่านไปทางคอมพิวเตอร์แสดงการคลิก เหมือนกับเวลาที่เราคลิกตัวเมาวส์



เครื่องมือช่วยใช้แทน mouse 
ภาพโดย: broadenedhorizons.com

     

หลังๆ มาเจ้านายของเกรซได้เปลี่ยนมาใช้ วิวัฒนาการตัวใหม่อีกตัวหนึ่ง ทีนี้ไม่ใช่แบบหูใส่เหมือนหูฟังอีกต่อไป แต่เป็นเพียงแค่ จุดพลาสติกกลมๆ เล็กๆ ที่ใช้นำมาติดไว้ที่กลางหน้าผาก วันแรกที่เกรซได้เห็นเกรซก็รู้สึกขำ เพราะมันดูไม่ต่างจากจุดกลมๆ ที่คนอินเดียทำเป็นเครื่องหมายเอาไว้ระหว่างคิ้ว ส่วนในการคลิกนั้นจะมีแป้น ที่ใช้นำมาติดไว้ตรงด้านข้างของรถล้อ แล้วก็ใช้การกระแทกที่แป้น ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นายท่านนี้สามารถตีแป้นนี้นั้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ท่านเคลื่อนไหวตัวไม่ได้จากช่วงไหล่ลงมา เนื่องจากการเป็นอัมภาตนั้น บางคนเป็นหนัก บางคนเป็นเบา บางคนเป็นแค่ครึ่งตัว แต่บางคนนั้นพูดไม่ได้เลยก็มี สำหรับคนที่เป็นตั้งแต่แค่ช่วงไหล่ลงมานั้น จะมีการฝึกให้ใช้กำลังจากหัวไหล่ เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวแขนได้ ตอนที่นายจ้างของเกรซเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เกรซรู้สึกทึ้งมากเพราะเธอไม่เคยรู้เรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน ในการทำงานนี้นั้นเกรซได้รับประสบการณ์หลากหลายที่ทำให้เธอต้องตะลึง แต่เรื่องที่ทำให้เกรซตะลึงมากที่สุดนั้นก็คือ เรื่องเล่าอุบัติเหตุของสาเหตุที่ทำให้นายจ้างของเธอนั้นเป็นอัมภาต
     นายจ้างของเกรซท่านนี้ไม่ได้เล่าให้เกรซฟังด้วยตัวของท่านเองจากปากต่อปาก ท่านดูเหมือนไม่อยากจะพูดถึงมันอีกเลยด้วยซ้ำเพราะมันเป็นเหมือนดังฝันร้าย พอเกรซถามท่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น ท่านยังพูดกับเกรซว่าท่านขอไม่พูดถึงมันได้ไหม แต่พอท่านรู้ว่าเกรซอยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรมากเหลือเกิน ท่านก็ได้บอกให้เกรซไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งในลิ้นชักของท่าน ซึ่งก็เป็นเรื่องราวที่ท่านเขียนเอาไว้ ให้กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ที่ได้นำเรื่องไปลงเป็นข่าวในตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เรื่องเล่าคร่าวก็มีอยู่ว่า ตอนนายท่านอายุ 17 ปี ท่านได้ออกไปเที่ยวผับกับเพื่อนๆ แล้วมีอาการเมานิดหน่อย พอปาร์ตี้เสร็จท่านและเพื่อนๆ ก็กำลังจะเดินทางกลับบ้าน ออกมาจากผับเพื่อที่จะเรียกรถแท็กซี่ เผอิญรถแท็กซี่ไม่ค่อยมีในคืนนั้น ท่านกับเพื่อนจึงตัดสินใจเดิน ในช่วงที่เดินอยู่นั้น ท่านและเพื่อนๆ ก็ได้หยุดหยอกล้อเล่นกันที่สนามฟุตบอล นายท่านด้วยความที่ยังมึนอยู่ ก็ปีนขึ้นไปบนเสายิงประตู เพื่อที่จะห้อยตัวลงมาแล้วเอาขาเกี่ยวไว้ เหมือนดังว่าท่านเป็นลิงชิมแปนซี ซึ่งเป็นการเล่นที่เกรซก็เล่นกับเพื่อนอยู่เป็นประจำตอนที่เธอเป็นเด็ก


ภาพโดย: superstock.co.uk


แต่ในขณะที่ท่านกำลังจะโน้มตัวไปจับที่ราวที่ขาของท่านนั้นห้อยอยู่เพื่อที่จะลงมาจากเสายิงประตู ท่านได้ผลัดตกลงมานอนอยู่บนพื้น พอพยายามจะลุกขึ้นท่านก็ยังคงมองเห็นพื้นสนามหญ้า ที่มองไปแล้วเป็นวิวเดิมจากตอนที่ท่านตกลงมา ทั้งๆ ที่ในความรู้สึกนั้น ท่านรู้สึกเหมือนว่าท่านได้ลุกขึ้นยืนแล้ว ในวินาทีนั้นเองท่านได้รู้ว่ามีอะไรผิดปกติอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นกับท่าน เพื่อนๆ ของนายท่านจึงพาท่านส่งโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลก็ได้โทรหาคุณแม่ของท่าน แล้วคุณหมอก็ได้บอกกับคุณแม่ของท่านว่า ท่านจะต้องเป็นอัมภาตไปตลอดชีวิต ทุกคนช็อคมากแต่คุณแม่ของนายท่านก็ได้บอกนายท่านว่า ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ขณะเดียวกันคุณหมอก็ได้บอกกับคุณแม่ของนายท่านว่า นายท่านอาจจะพูดไม่ได้ไปเลยตลอดชีวิต ในวันที่นายท่านออกจากห้องไอซียูและญาติสามารถเข้าเยี่ยมได้แล้ว คุณแม่ของนายท่านก็ได้เข้าเยี่ยมแล้วพอนายท่านพูดสวัสดี กับคุณแม่ของท่าน คุณแม่ของท่านก็ร้องไห้ เนื่องจากนึกว่าลูกชายตนจะไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปในตอนแรก เกรซตอนที่ได้อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดที่มีรายละเอียดยาวกว่านี้ เธอก็อยากจะร้องไห้ เจ้านายของเกรซยังเล่าให้ฟังอีกว่า มีคนที่ได้รับอุบัติเหตุแล้วกลายมาเป็นอัมภาต โดยแค่การหันหัวเพื่อที่จะสะบัดผมก็มี พอได้ฟังเช่นนั้นแล้วมันทำให้เกรซได้ตระหนักว่า มันไม่มีอะไรที่แน่นอนจริงๆ เอาเสียเลยในโลกใบนี้
     กะเวลาในการทำงานซึ่งถูกแบ่งเป็นอาทิตย์เว้นอาทิตย์นั้น ฟังดูแล้วเหมือนว่าจะดี เกรซคิดในใจว่าเธอจะได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ ได้อาทิตย์เต็มๆ ในอาทิตย์ที่เธอไม่ต้องทำงาน แต่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคิดไว้ซะทีเดียว เนื่องจากงานนั้นค่อนข้างหนักทางด้านร่างกาย ผู้ช่วยต้องยืน ต้องเดินเหิน อยู่ตลอดเวลาและชั่วโมงงานนั้นยาวนาน ดังที่ได้เห็นจากตารางด้านบน ผู้ช่วยต้องพร้อมที่จะเริ่มงานตั้งแต่ 8.30 โมงเช้า และงานจะจบลงที่ราวๆ เที่ยงคืน ในเวลากลางคืนยังมีการถูกเรียกอีกด้วย ตอนเกรซทำงานใหม่ๆ บางคืน เธอไม่ได้เข้านอนจนถึงตี 2 - ตี 4 ก็มี วันแรกและในช่วงอาทิตย์แรกของการทำงานเธอรู้สึกเหนื่อยและล้าเป็นอย่างมาก พอเธอได้เข้านอนเธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเธอนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยทีเดียว พร้อมทั้งกะงานที่เป็นแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ดังนั้นการทำงานจะยาวนานติดต่อกัน 7 วันรวด ซึ่งยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนล้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นหลังจากที่งานจบลงในแต่ละอาทิตย์ซึ่งมาถึงในอาทิตย์ที่ได้หยุดนั้น เกรซไม่มีแรงเหลือที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นมากนัก เธอได้แต่ใช้เวลาที่หยุดนั้นเพื่อนอนพักซะส่วนใหญ่
     ส่วนในเรื่องของค่าจ้าง ที่ฟังดูเหมือนจะดี เช่นเดียวกันกับกะงานที่เป็นแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์นั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดีดั่งที่เกรซคิดไว้ ในตอนแรกเนื่องจากเกรซได้เห็นค่าจ้างที่ลงไว้ในโฆษณา เธอก็มัวแต่ไปคิดคำนวณแปลเงินปอนด์มาเป็นเงินบาทไทย ซึ่งค่าจ้างที่ลงไว้นั้นอยู่ที่ 550 ปอนด์ต่ออาทิตย์ ในปีที่เกรซทำงาน เงินปอนด์ค่อนข้างแข็งดังนั้นค่าจ้างที่ 550 ปอนด์จะเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 44,000 บาท และเนื่องจากกะงานได้ถูกแบ่งเป็นอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ดังนั้นเกรซจะทำงานทั้งหมด 2 อาทิตย์ในหนึ่งเดือน ซึ่งก็เท่ากับว่าเธอจะได้รับเงินเดือนอยู่ที่เกือบแสนบาทเลยทีเดียว เกรซถึงขนาดตาลุกวาวตอนที่เห็นค่าจ้างในโฆษณางานนี้เพราะว่าเธอคาดหวังไว้ว่าเธอคงจะเก็บเงินได้มากโขเลยทีเดียว แต่พอทำงานอยู่ได้ไม่นานเธอก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากในความเป็นจริงแล้วเกรซไม่ได้เหลือเงินเก็บมากมายอย่างที่เธอฝันไว้เลย
     ก่อนหน้านี้ที่เกรซได้ทำงานอยู่กับคุณยายซึ่ง เธอได้อยู่ฟรี กินฟรี  เธอจึงไม่ได้เรียนรู้ในเรื่องของค่าใช้จ่าย อย่างเช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่ารถโดยสาร ค่าโทรศัพท์  ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้และในประเทศอังกฤษนั้นค่าใช้จ่ายจำเป็นเหล่านี้สูงกว่าประเทศไทยเกือบสามเท่าตัวเลยทีเดียวในปีที่เกรซทำงานนี้ และเนื่องจากงานนี้เป็นงานกะซึ่งถูกแบ่งเป็นอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ฉะนั้นเกรซจะต้องออกไปหาที่พัก ซึ่งเธอจะไม่ได้อยู่เต็มที่ทั้งเดือน เธอจะได้พักอยู่จริงๆ ก็แค่สองอาทิตย์ในหนึ่งเดือน และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่บ้านเต็มเดือน แต่เธอจะต้องจ่ายค่าเช่าที่พักในราคาหนึ่งเดือนเต็ม พร้อมทั้งหารค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟกับผู้เช่าบ้านคนอื่นๆ เนื่องจากในการอยู่พักในประเทศอังกฤษนั้น จะเป็นการเช่าห้องอยู่รวมกันกับผู้อื่น จึงต้องมีการหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก็ซหุงต้ม ฯลฯ  ค่าไฟและแก็ซหุงต้มที่ประเทศอังกฤษนั้นสูงมาก โดยเฉพาะในหน้าหนาวเพราะจะมีการเปิดเครื่องทำความร้อน เพื่อสร้างความอุ่นให้กับตัวบ้าน นอกจากค่าใช้จ่ายสำหรับที่พักอาศัยแล้ว ค่ารถโดยสารสาธารณะยังแพงมากอีกด้วย ตัวอย่างเช่น รถประจำทาง ประมาณ 1.3 กิโล จะตกอยู่ประมาณเกือบ 200 บาท และค่าอาหารก็แพงมาก ตัวอย่างเช่น ข้าวโพดที่ยังไม่ได้ปรุงนั้นฟักละ 25 บาท กระเทียมอยู่ที่หัวละ 15 บาท ต้นหอมจะตกอยู่ที่กำละ 35 บาท และส่วนกล้วยจะตกอยู่ที่ลูกละ 10 บาท ในขณะที่ในเมืองไทยนั้นเงิน 10 บาท สามารถใช้ซื้อกล้วยได้เกือบทั้งหวีเลยทีเดียว

ต้นหอม 35 บาท
ภาพโดย: asda.co.uk


และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เราเห็นได้จากหลายๆ คนที่ไปทำงานเมืองนอก บอกว่าได้เงินเดือนเป็นแสนๆ แต่ทำไมเราไม่เห็นเขารวยล้นฟ้าเหมือนคนที่ได้รายได้เป็นแสนในประเทศไทย เพราะจะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายในประเทศอังกฤษนั้นสูงมาก ค่าเฉลี่ยต่อหัวจะอยู่ที่เกือบครึ่งแสน ดังนั้นถึงจะได้รายได้เป็นแสนบาทไทย ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะรวยเพราะเขาไม่ได้อยู่ในประเทศไทยที่ค่าใช่จ่ายต่อหัวตกอยู่ที่แค่ที่ไม่กี่พันบาท ในสมัยเด็กเกรซมักจะถามผู้ใหญ่ที่ไปทำงานต่างประเทศว่าเขาได้รายได้เท่าไร แล้วเธอก็เอาจำนวนรายได้นั้นมาแปลเป็นเงินไทย ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกว่า โอ้โหมันมากจัง แต่เพราะความที่เธอเป็นเด็กเธอจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับระบบ การเงินและเศรษฐกิจมากนัก ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดถึงค่าใช้จ่าย ไม่รู้จักการคำนวณหักลบระหว่าง รายได้กับรายจ่าย ดังนั้นเวลาที่เธอได้ยินรายได้ของคนที่ไปทำงานในต่างแดน เธอก็จะคิดไม่ถึงและไม่รู้จักคิด ว่าคนที่ไปทำงานในต่างแดนหรือชาวต่างชาติทำงานในประเทศที่เจริญแล้วนั้น ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในประเทศไทยที่ค่ารถเมล์ตลอดสายอยู่ที่ 5 บาท ฉะนั้นสุดท้ายแล้ว เขาจะไม่ได้มีเงินเหลือ ไว้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายในแต่ละเดือน
     ตอนที่เกรซอยู่เมืองไทยก่อนที่เธอจะได้มาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ บ่อยครั้งที่เธอได้ยินเพื่อนต่างชาติชาวอเมริกันของเธอพูดเป็นประจำว่า “There is no life in  America.” เกรซไม่เคยเข้าใจความหมายของมัน จนเธอได้มาอยู่ที่ประเทศอังกฤษและได้มาเรียนรู้ด้วยตัวของเธอเองว่า เพื่อนชาวต่างชาติคนนี้ของเธอหมายความว่าอะไร พูดง่ายๆ เขาก็หมายความว่า มันไม่มี lifestyles อะไรเลย และมันก็จริงของเขาเพราะตอนที่เกรซอยู่เมืองไทย เธอมีเงินเหลือใช้ เธอสามารถเข้าสปา นวด เกือบทุกเดือน คิดจะออกไปเที่ยวปาร์ตี้กับเพื่อน จะรับประทานอาหารนอกบ้าน จะไปลงสมัครเรียนอะไรเพิ่มเติมสนุกๆ เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษนั้น ถึงแม้เธอจะได้เงินเดือนเกินครึ่งแสนทุกเดือน แต่ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือนก็เกือบครึ่งแสนเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงไม่มีเงินเหลือ เพื่อนำไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหรือทำอะไรอย่างอื่นได้มากมายในแต่ละเดือน ทั้งๆ ที่เธอก็พยายามเก็บหอมรอบริบอย่างมาก เธอนับครั้งได้เลยว่าเธอออกไปรับประทานอาหารนอกบ้างตามภัตตาคารดีๆ กี่ครั้ง และตั้งแต่เกรซอยู่ประเทศอังกฤษมาเกินกว่า 5 ปี เธอเคยไปสปาแค่ครั้งเดียว และเข้านวดแค่ 2 ครั้งเท่านั้นเอง

สปาในเมือง Bath 
ภาพโดย: thermaebathspa.com

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้งานนี้นั้นจะหนักทางด้านร่างกายแต่ในทางจิตใจนั้นกลับตรงกันข้าม เพราะงานนั้นไม่เครียด ไม่น่าเบื่อ ทำแล้วสบายใจจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรจากการดูแลญาติที่บ้านและความรู้สึกที่ได้รับนั้นเป็นความรู้สึกที่เงินหาซื้อไม่ได้ เกรซรู้สึกดี เธอรู้สึกว่าเธอได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เกรซจึงรู้สึกสนุกกับงานและสามารถทนทำอยู่ได้ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายไปซะทีเดียว เกรซเคยชวนเพื่อนรุ่นน้องชาวจีนมาลองงานปรากฏว่าทำไม่ได้ เพราะดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่างานนั้นหนักทางด้านร่างกาย รวมถึงการทำงานนี้นั้นเนื่องจากเป็นการทำงานในบ้านของเจ้านาย ซึ่งอาจทำให้ลืมตัว รู้สึกเหมือนว่าเราอยู่บ้าน ฉะนั้นผู้ช่วยต้องเรียนรู้ที่จะไม่ปล่อยตัวตามสบายจนเกินไป ในการทำงานนั้นจะต้องมีไหวพริบ ต้องคอยฟังคำสั่งจากเจ้านายดีๆ และระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัยให้กับเจ้านาย เพราะผู้ช่วยนั้นเป็นดังเช่นมือและเท้าของเจ้านาย รวมทั้งในการทำงานนั้น จะมีความใกล้ชิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเป็นอย่างมาก เพราะนายจ้างจะต้องอยู่กับลูกจ้างตลอดเวลา ดังนั้นต้องระวังที่จะไม่ข้ามเส้น ต้องรู้จักเคารพความเป็นส่วนตัวของเจ้านาย และห้ามเผลอตัวไปสลับหน้าที่กับเจ้านายโดยไปออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด โชคดีที่เกรซเข้ากันกับเจ้านายของเธอได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าตอนหลังเกรซจะย้ายที่อยู่และได้ออกไปทำงานที่อื่นแล้วก็ เจ้านายของเธอท่านนี้ก็มักจะเรียกใช้เกรซอยู่เสมอเวลาที่ท่านขาดคนงานหรือเวลาที่คนงานคนอื่นป่วยหรือพักร้อน ดังนั้นเกรซจึงยังคงเข้าไปทำงานให้กับเจ้านายท่านนี้อยู่เป็นครั้งคราวจวบจนถึงทุกวันนี้
     ส่วนเรื่องฮาๆ ที่เกิดจากอุบัติเหตุในการทำงานนี้ (ซึ่งจริงๆ แล้วตอนเที่เกิดเรื่องนั้นเกรซขำไม่ออก) มีอยู่มากมาย อย่างเช่น เกรซเคยรีดผ้าของเจ้านายท่านนี้ไหม้ไปเกือบ 10 ตัว เนื่องจากก่อนที่เกรซจะมาอยู่ที่อังกฤษเธอไม่ค่อยได้รีดผ้าเองบ่อยนัก ส่วนใหญ่ผู้ปกครองของเธอจะรีดให้ หรือไม่ก็จะจ้างรีดเพราะที่เมืองไทยนั้น ค่าจ้างในการรีดผ้าถูกมาก ตัวละแค่ 5-10 บาท (10-20p) เวลาเกรซรีดผ้าเธอมักจะเปิดไฟให้สูงที่สุดเพราะเธอรู้สึกว่ามันทำให้ผ้าเรียบเร็วดี เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องปรับความร้อนตามลักษณะของเนื้อผ้า ด้วยความเคยชินกับเคล็ดลับของการรีดผ้าของเธอในการเปิดไฟให้แรงเข้าไว้ก่อนนั้น เธอจึงรีดเสื้อผ้าของเจ้านายไหม้ไปหลายตัวเลย รวมถึงบางตัวที่มียี่ห้อราคาแพงเกือบครึ่งหมื่นเลยทีเดียว
     เท่านั้นยังไม่พอ เจ้านายของเกรซใช้ให้เกรซไปตัดหญ้าหน้าบ้าน เกรซเกิดมาก็ไม่เคยตัดหญ้ามาก่อนซะด้วย เธอก็ตัดไปตัดมาแล้วอยู่ๆ เครื่องตัดหญ้าก็ดับไป เธอก็วิ่งกลับเข้าไปในตัวบ้านเพื่อที่จะบอกเจ้านายว่า เครื่องตัดหญ้าพัง เจ้านายของเธอก็หันมาด้วยสีหน้าเคืองนิดๆ และถามว่า เธอตัดสายไฟหรือปล่าว เกรซก็วิ่งออกมาดูที่สนามหญ้า แล้วเธอก็ไล่ตามสายตัดหญ้า และปรากฎว่าสายตัดหญ้านั้นขาดจริงๆ เธอก็เดินกลับเข้าบ้านไปหน้าจ๋อย และบอกกับเจ้านายว่า ใช่เธอตัดสายไฟของเครื่องตัดหญ้าขาด เจ้านายของเธอนั้นก็เคืองนิดๆ เนื่องจากตอนที่เกรซตัดสายไฟเครื่องตัดหญ้านั้น ไฟก็ดับอัตโนมัติทั้งบ้านจากวงจรที่ตั้งไว้เพื่อความปลอดภัย และเจ้านายของเกรซกำลังทำงานของท่านอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ โชคดีที่ท่านไม่ได้ทำอะไรสำคัญอยู่ ไม่อย่างนั้นท่านจะสูญเสียงานที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ทั้งหมด พร้อมทั้งเจ้านายของเกรซนึกว่า ท่านจะต้องมานั่งซื้อเครื่องตัดหญ้าเครื่องใหม่ซึ่งเครื่องหนึ่งก็เป็นหมื่น เกรซก็ได้บอกเจ้านายไปว่าเธอจะซื้อใช้ให้ เพราะเกรซหวังอยู่ในใจว่าเธอจะสามารถหาซื้อเฉพาะสายอย่างเดียวได้ แต่เธอก็พะวงอยู่ลึกๆ ว่าหากเธอหาซื้อเฉพาะสายอย่างเดียวไม่ได้นั้นเธอจะต้องซวยแน่ๆ แต่สุดท้ายเกรซก็ค้นหาในอินเตอร์เนตเจอสายอย่างเดียวขายอยู่แค่ประมาณหนึ่งพันบาทเธอจึงโชคดีไป ตอนหลังเธอแล้วเจ้านายก็แซวกันเป็น ประจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็หัวเราะกันคิกคัก เจ้านายของเธอยังพูดเสมอว่าท่านน่าจะได้สอนงานเกรซก่อน ว่าในการตัดหญ้านั้นเธอจะต้องเอาสายตัดหญ้ามาพันไว้ที่บ่า ใต้วงแขน ไม่ใช่ปล่อยไว้ที่พื้น แล้วก็แถเครื่องไปเรื่อยไม่ได้ลืมหู ลืมตาดูอะไรเลย



ภาพโดย: sciencephoto.com



ยังมีเรื่องฮาอีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่เจ้านายของเกรซ เรียกให้เกรซมาลองทำข้อสอบสำหรับการทำใบขับขี่ เนื่องจากงานผู้ช่วยส่วนตัวนั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ช่วยจำเป็นจะต้องมีใบอนุญาตในการขับขี่ ในประเทศอังกฤษใบอนุญาตยังถูกแบ่งออกเป็นใบอนุญาตสำหรับเกียร์ธรรมดา และใบอนุญาตสำหรับเกียร์กระปุก เกรซนั้นได้ทำใบอนุญาตนานาชาติมาจากเมืองไทยซึ่งมีอายุการใช้งานได้แค่ 1 ปีในประเทศอังกฤษ ดังนั้นเธอจึงต้องทำการทดสอบใบอนุญาตในการขับขี่ใหม่ แล้วมีอยู่วันหนึ่งเจ้านายของเกรซก็เรียก ให้มาลองทำบททดสอบใบขับขี่ออนไลน์ทางอินเตอร์เนต และในขณะที่เกรซนั่งทำบททดสอบอยู่นั้นก็ได้มีคำถามอยู่ข้อหนึ่งถามขึ้นมาว่า ในการขับรถในระแวกชุมนุมชนตามบ้านเรือนจะต้องใช้ความเร็วที่เท่าไหร่ เกรซก็เลือกตอบที่ 100 ไมล์ต่อ 1 ชั่วโมง เจ้านายของเกรซก็หันมามองหน้าเกรซด้วยความตกใจและพูดว่า เธอห้ามมาขับรถตู้ของฉัน เกรซก็งงเพราะตอนที่เธออยู่เมืองไทยนั้น เธอก็ขับรถอยู่ที่ประมาณ 80-100 ไมล์ต่อ 1 ชั่งโมงมาตลอด แต่เจ้านายของเธอบอกว่าที่ประเทศอังกฤษนั้น การขับรถในระแวกชุมชนจะต้องอยู่ที่ 30 ไมล์ต่อ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เกรซคิดในใจในขณะนั้นว่าเธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุบัตเหตุทางการจราจรสูงที่สุดในโลก ไม่เท่านั้นใบอนุญาตในการขับขี่ที่เธอได้มาจากประเทศไทยนั้นเธอยังได้ซื้อมันมาอีกด้วย เธอเริ่มที่จะรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมากเพราะเธอได้เริ่มเข้าใจอีกว่านี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำไมประเทศไทยมีอุบัติเหตุในการจราจรสูง และเธอเริ่มเห็นข้อเสียและผลกระทบจากการใช้เงินซื้อสิ่งต่างๆ ได้เกือบทุกอย่างในประเทศไทย อย่างเช่นในการซื้อใบขับขี่นี้ ว่าจริงๆ แล้วมันมีเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว


งานผู้ช่วยดูแลผู้ป่วยอื่นๆ
ต่อมาเกรซได้ทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับผู้ว่าจ้างอีกหลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านก็มีอาการแตกต่างกันไป เช่น ไขข้ออักเสบ อาการหลายเส้นโลหิตตีบ อาการอัมภาตทางสมอง เกรซเจองานทั้งหมดนี้ผ่านทางอินเตอร์เนต ในการรับคัดเลือกก็มีการสัมภาษณ์คุยทางโทรศัพท์เล็กน้อย พร้อมกับการนัดเจอกับนายจ้าง รวมถึงครอบครัวของผู้ว่าจ้างหากนายจ้างยังพักอาศัยอยู่กับผู้ปกครอง การสัมภาษณ์ก็เป็นการคุยแบบเป็นกันเอง ถามเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา  ลักษณะงานก็คล้ายๆ กันแต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ตัวอย่างเช่น บางงานนั้นไม่มีหน้าที่การทำความสะอาดบ้านเลย บางงานนั้นไม่ต้องมีการดูแลอาบน้ำแต่งตัวให้ผู้ป่วยแต่บางงานนั้นต้องดูแลทุกอย่างรวมถึงการเข้าห้องน้ำด้วย ส่วนรายได้สำหรับงานที่ต้องพักที่บ้านเจ้านาย ค่าจ้างก็จะใกล้เคียงกันคือ อยู่ที่ 450 – 550 ปอนด์ แต่สำหรับงานที่ไม่ได้เป็นแบบพักอยู่นั้นจะจ่ายเป็นชั่วโมง แต่ละที่จะให้ไม่เท่ากันเกรซเคยได้รับค่าจ้างต่ำสูดที่ 6 ปอนด์และสูงสุดที่ 9 ปอนด์ต่อชั่วโมง
     เกรซชอบงานผู้ช่วยทุกงานที่เธอทำมาเนื่องจาก สำหรับเกรซนั้นงานผู้ช่วยเป็นงานที่ง่ายมาก เพราะเธอสนิทกับคนง่าย และเป็นคนที่คุยสนุก เข้าใจและสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและเธอนั้นอดทน แต่ถึงว่าเธอจะมีความอดทนสูงก็ตาม มันก็ยังมีเรื่องไม่คาดคิดซึ่งทำให้เธอถึงขนาดไม่อยากไปทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เกิดเรื่อง เนื่องจากมีนายจ้างของเธอคนหนึ่ง ซึ่งมีอาการพิการที่ทำให้พูดและควบคุมร่างกายไม่ได้เลย แต่สามารถรับความรู้สึกทุกอย่างได้ และสำหรับผู้ป่วยลักษณะนี้นั้นในประเทศอังกฤษจะมีเครื่องมือช่วยในการสื่อสาร ซึ่งเป็นคอมพิเตอร์เล็กๆ ที่มีคียบอรด์ ให้ผู้ป่วยสามารถพิมพ์สื่อสารได้แทนการพูด และส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะสื่อสารโดยการใช้สายตา เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักสังเกตดีๆ ว่านายจ้างต้องการให้ทำอะไร และส่วนใหญ่แล้วเท่าที่เกรซสังเกตุเห็นมา นายจ้างจะไม่ชอบที่สุดถ้าเขากำลังพิมพ์อยู่แล้วเราไปเดาส่งทั้งๆ ที่เขายังพิมพ์ไม่เสร็จ


ตัวอย่างเครื่องมือช่วยในการพูด
ภาพโดย: sctimes.com

ในวันที่เกิดเรื่องนั้นเกรซ ซึ่งปกติแล้วต้องอาบน้ำวันเว้นวันให้กับนายท่านนี้ เกรซก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเช้าวันนั้น เจ้านายท่านนี้ได้ชี้นิ้วให้เกรซทำความสะอาด บริเวณนั้นอยู่นานจัง และหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ก่อนเกรซจะกลับบ้านเจ้านายท่านนี้ก็พิมพ์ในเครื่องช่วยพูดของท่านบอกว่า “Tomorrow wipe willy” แปลง่ายๆ ก็คือ พรุ่งนี้ขัดจ** อีก ในวันนั้นเกรซกลับมาบ้านแล้วรู้สึกพูดไม่ออก ไม่รู้จะบอกใครดี เธอไม่แน่ใจแม้แต่จะบอกแฟนของเธอ เพราะเธอรู้สึกละอาย ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่แปลก เพราะเกรซไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด แต่เกรซกลับรู้สึกอายที่จะเล่าให้คนอื่นฟัง แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเล่าให้แฟนของเธอฟัง และแฟนของเกรซก็บอกให้เกรซ โทรศัพท์ไปแจ้งผู้ปกครองของเจ้านายเกรซท่านนี้ แต่กว่าเกรซจะรวมกำลังใจที่จะกดปุ่มโทรศัพท์ โทรไปบอกผู้ปกครองของเจ้านายนั้น เธอนั่งคิด นั่งคุย นั่งเถียงอยูกับแฟนของเธออยู่เป็นชั่วโมง เพราะเธอไม่กล้าและรู้สึกละอายเป็นอย่างมากที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เกรซอยากจะลาออกจากงานหรือไม่ก็หายไปเลย แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจโทรไปบอกผู้ปกครองของเจ้านายของเธอ ผู้ปกครองของเจ้านายของเกรซก็กล่าวขอโทษและตักเตือนลูกของตน ในวันรุ่งขึ้นเกรซก็กลับไปทำงานตามปกติ แต่ตั้งแต่นั้นมาเกรซไม่ต้องทำความสะอาดบริเวณนั้นให้เจ้านายท่านนี้อีกต่อไป เนื่องจากผู้ปกครองของเจ้านายท่านได้จัดการ แก้ไขสถานการณ์โดยทำหน้าที่ตรงนี้แทนให้


งานอาสาสมัคร
ในระหว่างที่เกรซทำงานผู้ช่วยดูแลอยู่นั้น เธอคิดอยู่ในใจตลอดเวลาว่าถ้าเธอยังคงทำงานผู้ช่วยดูแลต่อไป เธอจะมีปัญหาเวลาที่เธอกลับเมืองไทย เพราะเวลาที่เธอต้องกลับเมืองไทยเธอจะต้องไปทำงานในบริษัท ดังนั้นเธอจะไม่สามารถใช้ประสบการณ์การทำงานผู้ช่วยดูแล ในการหางานในออฟฟิสได้ ต่อมาเธอจึงตัดสินใจที่จะเริ่มมองหางานในบริษัทองค์กรต่างๆ เกรซไม่อยากทำงานให้กับบริษัทการค้าที่หวังผลกำไรแต่อย่างเดียว พร้อมทั้งในการที่จะหางานโดยที่ไม่มีประสบการณ์มาเป็นปีๆ มาก่อนในประเทศอังกฤษนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทที่ 2 ว่าในประเทศอังกฤษนั้น ระบบการรับสมัครพนักงานต่างจากระบบในเมืองไทย กล่าวคือที่ประเทศอังกฤษการทำงานในออฟฟิส พนักงานไม่จำเป็นต้องมีวุฒิใดๆ แต่ต้องมีประสบการณ์ในการทำงาน เกรซจึงได้มองหางานในองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร ซึ่งเธอไม่ได้รับค่าจ้างในการทำงาน แต่ทางองค์กรออกค่ารถโดยสาร และค่าอาหารให้สำหรับผู้ที่อาสาสมัครทำงานมากกว่า 3 ชั่วโมงขึ้นไป เกรซได้เลือกสมัครเป็นอาสาสมัครกับองค์กรที่ช่วยเหลือคนแก่และคนพิการ เนื่องจากเธอเคยเป็นผู้ช่วยดูแลคนแก่และคนพิการมา ในขณะนั้นทางองค์กรมองหาอาสาสมัครในตำแหน่งพนักงานคีย์ข้อมูล ทั้งๆ ที่เกรซก็ไม่รู้มากนักว่าพนักงานคีย์ข้อมูลมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างแต่เธอก็สมัครไป เธอได้สมัครผ่านเว็ปไซต์ที่ชื่อว่า Do it ซึ่งเป็นเว็ปไซต์ยอดฮิตที่คนอังกฤษใช้ในการหางานอาสาสมัคร



www.do-it.org.uk



หลังจากสมัครไปได้ไม่นานผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจก็ได้ โทรศัพท์สัมภาษณ์และก็นัดให้เริ่มทำงานเลยโดยไม่ได้มีการสัมภาษณ์อื่นๆ อีก วันแรกที่เกรซเข้าไปทำงาน เธอก็ได้เจอพนักงานอาสาสมัครท่านอื่น และก็ได้ฝึกงานกับพนักงานประจำ งานนี้ดูเหมือนจะง่าย เพราะตำแหน่งพนักงานคีย์ข้อมูลนั้นฟังดูเหมือนจะเป็นการพิมพ์เติมข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์เฉยๆ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น งานนี้มีการโทรศัพท์หาผู้คน สอบถามข้อมูลเพื่อที่จะนำข้อมูลมาบันทึกไว้ในฐานข้อมูล ในวันแรกๆ นั้นเกรซรู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากเธอไม่เคยผ่านงานที่ต้องโทรศัพท์ออกไปหาผู้คนมาก่อน แถมเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย และคำถามที่ต้องถามก็ไม่ใช่สั้นๆ แถมยังเป็นคำถามที่คนไม่ค่อยอยากจะตอบอีกด้วย ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจก็คอยเชียร์ เพราะท่านคงเห็นว่าเกรซ ดูค่อนข้างประหม่า มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถึงขนาดพูดว่า “You’re getting there” ซึ่งหมายความว่า เธอจะได้แล้วละ แต่พอทำไปเรื่อยๆ เกรซก็เริ่มชิน เพราะเธอเริ่มรู้สึกสนุกกับงาน เธอเข้าไปทำงานเกือบทุกวัน จนพนักงานประจำพูดว่า เขานึกว่าเกรซทำงานประจำทีนี้ ไม่ใช่แค่พนักงานอาสาสมัคร เพราะปกติแล้วพนักงานอาสาสมัครจะเข้ามาทำงานเป็นครั้งคราว วันละไม่กี่ชั่วโมง แต่ตอนเกรซเริ่มทำงานที่นี้ใหม่ๆ เธอมักจะอยู่จนเวลางานเลิกเลยทีเดียว พอเธอทำงานไปได้ประมาณ 2-3 เดือน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจก็ได้มาถามเกรซเกี่ยวกับปริญญาที่เกรซได้มา เพราะปริญญาตรีใบแรกของเกรซนั้นเป็นวุฒิธุรกิจสายการตลาด ส่วนปริญญาใบที่สองเป็นการตลาดระหว่างประเทศ ผู้จัดการได้ถามเกรซว่า การตลาดกับการตลาดระหว่างประเทศมันต่างกันอย่างไร เกรซก็อธิบายไป สุดท้ายผู้จัดการก็เอาแผนงานการตลาดของปีก่อนมาให้เกรซดู เกรซก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะเขียนแผนการตลาดฉบับกระเป๋าให้สำหรับปีนี้ ซึ่งผู้จัดการก็ดูยินดีเป็นอย่างมาก แล้วเกรซก็จัดการเขียนคนเดียวจนเสร็จและให้แฟนตรวจเช็ค ผู้จัดการได้กล่าวชมเชยผลงานและได้ให้ตำแหน่งอีกตำแหน่งชื่อว่า อาสาสมัครผู้ช่วยพัฒนาธุรกิจ
     เกรซทำงานเป็นอาสาสมัครอยู่ที่นี่ได้ปีกว่า ในขณะเดียวกันเธอก็มองหางานประจำไปด้วย แต่เพราะเศรษฐกิจซบเซาในประเทศอังกฤษพร้อมทั้งขณะเดียวกันนั้นเกรซยังถือวีซ่านักเรียนอยู่ และตามกฏของวีซ่านักเรียนนั้น ผู้ถือวีซ่าสามารถทำงานได้แต่ 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ ในช่วงเศรษฐกิจซบเซานั้นงานประจำเต็มเวลาก็มีน้อยอยู่แล้ว แต่สำหรับเกรซเนื่องจากเธอถือวีซ่านักเรียนอยู่เธอต้องหางานที่ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์อีกด้วย ดังนั้นเกรซจึงประสบปัญหาในการหางานอย่างมาก บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกท้อแท้และอยากกลับบ้านเพราะเธอรู้ดีว่าถ้าอยู่เมืองไทย เธอจะได้การตอบรับในการสมัครงานดีกว่านี้ เนื่องจากพอมาถึงจุดนี้เกรซได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษแล้ว พร้อมทั้งเธอก็ได้มีประสบการณ์การทำงานในบริษัทมาปีกว่าอีกด้วย เธอรู้ตัวดีว่าถ้าเธอกลับเมืองไทย เธอจะเป็นที่สนใจกับบริษัทต่างๆ เนื่องจากในบริษัทที่เมืองไทยนั้นต้องการผู้ที่จบมีปริญญาและงานที่รายได้ดีส่วนใหญ่ต้องการผู้ที่จบปริญญาจากต่างประเทศ เพื่อนนักเรียนกที่มาจากเมืองไทยด้วยกันกับเกรซทั้ง 16 คนซึ่งได้กลับเมืองไทยไปหมดแล้วก็ได้งานดีๆ กันทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกรซท้อแท้เป็นอย่างมากและอยากกลับบ้านเพราะเธอรู้สึกเหนื่อยล้ากับการหางานในประเทศอังกฤษ เธอจึงตัดสินใจสมัครงานในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ตัวเธอนั้นยังอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เธอสมัครไปแค่ไม่กี่ที่และเธอก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีดังที่เธอคาดหวังไว้ มีบริษัทหนึ่งโทรมาหาเธอทุกวันตลอดทั้งอาทิตย์เพื่อนัดทำการสัมภาษณ์ งานนี้ได้ลงเงินเดือนขั้นต่ำไว้ที่ 30,000 บาท อาหารฟรีเนื่องจากงานนี้เป็นงานในต่างจังหวัดในรีสอรท์ใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งในรีสอรท์นั้นมีภัตคารอาหารในตัว รวมทั้งที่พักฟรีอีกด้วย แต่สุดท้ายหลังจากที่มีการคุยกันทางโทรศัทพ์หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เกรซต้องจำใจบอกปัดไปเนื่องจากแฟนพร้อมทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของแฟนไม่เห็นด้วย ในตอนที่เกรซโทรบริษัทว่าเธอเปลี่ยนใจและคงไม่สามารถรับงานได้นั้น ผู้จัดการฝ่ายบุคคลถึงขนาดบอกกับเกรซว่า จริงๆ แล้วเธอนะได้งานแล้วละเพียงแต่กรรมการผู้จัดการต้องการพบปะ เพื่อที่จะทำการตกลงในเรื่องของจำนวนเงินเดือน พอเกรซได้ยินดังนั้นเธอจึงรู้สึกพูดไม่ออก ไม่กล้าที่จะกล่าวปฏิเสธในการรับงานเพราะเกรซก็อยากจะได้งานนี้เป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากับทั้งสองฝ่ายเกรซตัดสินใจส่งอีเมล์เพื่อที่จะยืนยันว่าเธอตัดสินใจไม่รับงานแบบเด็ดขาด
     ถึงว่าเกรซจะท้อ และเครียดในการหางานในประเทศอังกฤษเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่หลายครั้งเธอยากจะกระโดดลงมาจากตึกของห้องพักของเธอ แต่เธอไม่ได้ตัดสินใจทำเพราะห้องที่เธอเช่าอยู่นั้นอยู่แค่ชั้น 4 เธอจึงเกรงว่าเธอจะไม่ตายแต่จะพิการแทน และอาจทำให้คนรอบข้างของเธอต้องมาลำบาก เธอก็อดทนสุดท้ายเกรซก็มาเจองานที่ต้องทำตอนเย็นช่วง 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม เธอไม่ได้อยากจะสมัครงานนี้ในตอนแรกเพราะชั่วโมงเวลาในการทำงานนั้นไม่น่าสนใจเลย มันเท่ากับว่าพอแฟนของเธอเลิกงานกลับมาบ้านเธอก็ต้องออกไปทำงาน แต่เธอก็ตัดสินใจสมัครไปเพราะงานไม่เต็มเวลาที่ต้องไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์นั้นมีอยู่ไม่มากนัก รวมถึงเกรซคาดว่าคนสมัครงานนี้อาจจะมีไม่มาก เพราะคงไม่มีใครอยากทำงานช่วง 5-9 โมงเย็นนี้ ดังนั้นเธอจึงมีสิทธิ์ที่จะได้งานและเธอก็ได้งานจริงๆ


งานออฟฟิสในบริษัท
งานแรกที่เกรซได้รับ ที่เป็นงานทำในออฟฟิสนั้นเป็นงานตำแหน่งพนักงานธุรการ เกรซสมัครงานในออฟฟิสนี้ผ่านทางอินเตอร์เนต โดยผ่านบริษัทตัวแทนจัดหางานเอกชน (Agency) งานนี้ไม่ได้มีการนัดสัมภาษณ์ตัวต่อตัวเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่มีการคุยกับพนักงานจากบริษัทตัวแทนจัดหางานทางโทรศัพท์ มันเหมือนกับว่าเกรซได้งานนี้แบบไม่รู้ตัวก็ว่าได้ พอพนักงานจากบริษัทตัวแทนจัดหางานโทรมา แค่ถามว่าทำอะไรมาบ้างที่ผ่านมา แล้วพร้อมที่จะทำงานเมื่อไหร่ เกรซก็ได้ตอบไปว่าเริ่มงานได้วันจันทร์นี้เลย แล้วสุดท้ายเกรซก็ได้รับอีเมล์รับเข้าทำงานซึ่งมีข้อมูลของสถานที่ทำงาน วันที่เริ่มงาน และค่าแรงซึ่งอยู่ที่ 6.73 ปอนด์ต่อชั่วโมงระบุไว้  ซึ่งไม่มากนักสำหรับเวลางาน 5 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่มซึ่งไม่ไช่เป็นเวลาทำงานปกติ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
     ในวันที่เข้าทำงานวันแรกนั้น เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ได้อธิบายงานให้เกรซฟังเกี่ยวกับว่าบริษัทนั้นทำอะไร พร้อมทั้งให้อ่านข้อมูลไปด้วย เกรซรู้สึกตึงไปหมด ถึงแม้ว่าข้อมูลจะมีอยู่ด้วยกันแค่สองหน้ากระดาษแต่ธุรกิจของบริษัทนี้เป็นธุรกิจประเภทที่เกรซไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอยู่ในประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่พอตอนปฏิบัติงานจริงกลับสนุกดี เพราะงานไม่ได้มีอะไรมากแค่ตรวจดูเอกสารและค่าใช้จ่ายให้ครบและถูกต้องสมบูรณ์ แล้วก็บันทึกข้อมูลพิมพ์ลงไปในฐานข้อมูลให้ถูกต้อง และก็มีการคุยติดต่อตอบโต้กับลูกค้า และประสานงานกับเพื่อนร่วมงานทางอีเมล์และทางโทรศัพท์  เกรซทำงานอยู่ที่นี่ได้ประมาณหกเดือน และเธอก็ถูกยกเลิกสัญญา ตอนแรกนั้นเธอนึกไปว่าเธอคงทำงานไม่ดี เธอจึงถูกยกเลิกสัญญา แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย แต่มันเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดทางวัฒนธรรมเท่านั้นเอง 


วัฒนธรรมที่แตกต่างในการทำงาน
พอทำงานอยู่ได้  6 เดือน บริษัทก็ขยายใหญ่โตมากขึ้นและได้ย้ายสำนักงานไปในที่ที่มีพื้นที่กว้างขึ้น เพื่อที่จะสามารถรองรับจำนวนพนักงานและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องมีมาเพิ่มมากขึ้น พนักงานที่ทำงานกะ 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่มเหมือนกันกับเกรซก็เริ่มทะยอยกันขอสมัครเข้าเป็นพนักงานประจำ ส่วนเกรซนั้นด้วยความเป็นคนไทยก็ไม่แน่ใจว่าเธอควรจะตรากหน้าเข้าไปขอสมัครเข้าเป็นพนักงานประจำเหมือนกับคนอื่นเขา หรือว่าเธอควรจะรอให้ผู้จัดการเข้ามาถาม มาเสนอหรือพูดง่ายๆ ว่ามาทาบทาม เพราะในวัฒนธรรมไทยนั้นเราจะต้องรอให้เจ้านายเข้ามาเสนอตำแหน่งงานให้ เพราะหากว่าเราเข้าไปขอมันจะเหมือนเป็นการเสนอหน้า เกรซจึงไม่กล้าจนวันสุดท้ายที่เกรซเข้าไปทำงานก่อนที่เธอจะถูกยกเลิกสัญญาว่าจ้างชั่วคราวนั้น เธอได้นั่งทำงานอยู่กับกลุ่มผู้จัดการ ซึ่งเกรซก็ได้ยินผู้จัดการพูดกลับผู้จัดการอีกท่านหนึ่งว่า “นี่เรายังต้องการคนทำงานเพิ่มอีกไหม” ผู้จัดการอีกท่านก็ได้ตอบว่า “ใช่ ต้องการ” เกรซก็ยังรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมเขาถึงคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ในขณะที่เกรซก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะด้วยความเป็นไทย เธอก็ได้แต่คิดว่าถ้าบริษัทต้องการเธอผู้จัดการก็จะเข้ามาคุยเอง หลังจากวันนั้นเกรซก็ได้ลาพักร้อนเพื่อที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย และในช่วงที่เธอลาพักร้อนอยู่นั้นเธอก็ได้เช็คอีเมล์และพบอีเมล์จากเอเย่นของเธอ อีเมล์มาบอกให้เกรซติดต่อกลับด่วนเนื่องจากทางบริษัทขอยกเลิกสัญญาจ้างงาน ในวันนั้นเกรซรู้สึกเศร้าเป็นอย่างมากเพราะเธอคิดว่าเธอคงทำงานไม่ได้เรื่อง เอเย่นก็ได้บอกกับเกรซอีกว่าให้กลับเข้าไปเอาของซึ่งเกรซทิ้งไว้ที่ทำงานได้แต่เกรซรู้สึกละอายเป็นอย่างมากเธอจึงไม่กล้าเข้าไปเอาของๆ เธอ แฟนของเกรซก็พยายามบอกให้เกรซเข้าไปเอาของจะได้คุยกับผู้จัดการด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เกรซก็ตัดสินใจไม่เข้าไปแล้วก็โทษตัวเองว่าบริษัทคงจะไม่ต้องการเกรซเพราะเกรซเป็นแค่ “a stupid foreigner” ดังที่เกรซเคยได้ยินมาจากคนบางคนที่มักจะใช้คำพูดนี้ว่าคนงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานที่ประเทศอังกฤษ 
     อีกสาเหตุหนึ่งที่เกรซตัดสินใจไม่กลับเข้าไปด้วยเพราะว่า ในขณะเดียวกันเกรซได้ถูกติดต่อจากที่โบสถ์ที่เธอเข้าไปนมัสการเป็นประจำให้ไปช่วยทำงานอาสาสมัครเป็นพนักงานเอกสารที่จะต้องดูแลงานเอกสารทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวในโบสถ์ ประกอบกับความรู้สึกที่คิดไปเองว่าเธอทำงานไม่ดีแน่เลยเธอถึงถูกยกเลิกสัญญาเธอจึงรู้สึกว่าเธอไปช่วยงานในโบสถ์ดีกว่า แต่พอเวลาผ่านไปได้ไม่ถึงเดือนเอเย่นซี่ก็ติดต่อเกรซกลับมาอีก มาเสนองานในตำแหน่งพนักงานเอกสารในฝ่ายการเงินให้แล้วก็บอกเกรซว่าเป็นงานจากบริษัทเดิมที่เกรซได้ทำงานเอกสารตอน 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่มนั่นแหละ พอเกรซได้ยินดังนั้นเกรซจึงเริ่มเข้าใจว่าเธอเข้าใจผิดไปเองจริงๆ ดังที่แฟนของเธอบอกไว้ เพราะตอนที่เกรซถูกยกเลิกสัญญานั้นเธอเศร้ามากและก็ได้แต่บ่นกับแฟนว่าเธอนั้นคงทำงานแย่มาก แต่แฟนของเกรซมั่นใจในตัวเกรซมากเหลือเกินและก็พยายามบอกเกรซอยู่ตลอดว่าไม่ใช่ และยังพยายามบอกให้เกรซเข้าไปเก็บของจะได้คุยกับผู้จัดการ หรือไม่ก็อีเมล์ไปถามเลยว่าทำงานให้ไม่ดีหรืออย่างไร และอีกสาเหตุที่แฟนของเกรซมั่นใจในตัวเกรซเป็นอย่างมากก็เพราะว่าแฟนของเกรซได้ยินเรื่องที่เกรซเล่าให้ฟังเกี่ยวกับตอนที่เกรซได้ยินผู้จัดการคุยกันว่าต้องการคนเพิ่ม แต่ด้วยความที่เกรซเป็นคนไทยเกรซก็รู้สึกว่า อ้าวถ้าต้องการคนเพิ่มแล้วทำไมไม่เข้ามาถามเราสักนิดแต่กลับมาคุยกันให้เราได้ยินซะงั้น หรือว่าเราไม่ดีพอทำจะถูกทาบทามให้เป็นพนักงานประจำหรืออย่างไร เธอจึงตัดสินใจว่าไม่เอาดีกว่าและเธอก็ได้แต่รู้สึกเสียใจและน้อยใจมาตลอด จนกระทั่งวันที่เอเย่นติดต่อกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับตำแหน่งงานในฝ่ายการเงินที่เสนอค่าจ้างสูงกว่าให้เธอจึงเริ่มเข้าใจว่าเธอเข้าใจผิดไปเองจริงๆ ดังที่แฟนของเธอบอกเธอว่าในประเทศอังกฤษนั้นหากพนักงานคนไหนอยากได้เงินเดือนเพิ่มหรือตำแหน่งที่สูงขึ้น พนักงานคนนั้นจะต้องแสดงให้เห็นชัดเจนให้หัวหน้ารู้และเข้าไปพูดคุยเลย ในขณะที่ในประเทศไทยนั้นการกระทำลักษณะนี้จะถูกเรียกว่า “การเสนอหน้า” ในวันที่เกรซเข้าใจมากขึ้นนั้น เกรซก็รู้สึกดีเพราะเกรซรู้ได้เลยว่าวันที่เจ้านายคุยกันในวันนั้น นั่นแหละคือการเปรยเพื่อที่จะให้เกรซสมัครเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำนั่นเอง



**กรุณากลับมาอีกครั้งเพื่อติดตามอ่านต่อหรือฝากอีเมล์ของท่านไว้เพื่อที่ท่านจะได้รับบทความเพิ่มเติมแจ้งส่งไปยังอีเมล์ของท่าน**

โปรดติดตามตอนต่อไป